ศิลปินฝั่งธน
ย้อนไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 ดนตรีไทยในยุคนั้นถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด นักดนตรีในสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็จะประจำอยู่ตามวังต่างๆเเละก็มีหลายต่อหลายท่านก็จะได้รับพระราชทานบรรดาศ้กดิ์หรือพระราชทินนามช่น หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) พระยาเสนาะดุริยางค์(แช่ม สุนทรวาทิน) จางวางทั่ว พาทยโกศลเเละยังมีท่านอื่นๆอีกมามายที่ได้รับที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ต่างกันไป
ครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะจัดว่าเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถมากที่สุดในยุคนั้นก็ว่าได้ เพราะเป็นนักดนตรีไทยที่มีฝีมือเเละการเเต่งเพลงชนิดที่เรียกว่าเป็นมือวางอันดับ 1 และในวงการดนตรีไทยก็จะทราบกันดีว่าท่านจะมีคู่เเข่งคู่ประชันที่ขับเคี่ยวกันมาโดยตลอดก็คือพระยาเสนาะดุริยางค์ ถ้าใครได้ชมภาพยนต์เรื่องโหมโรงผมกำลังจะบอกว่าขุนอินนั่นเเหละครับก็คือพระยาเสนาะดุริยางค์ คู่ปรับในชีวิตดนตรีแห่งความเป็นจริงของท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
ส่วนการเเต่งเพลงหรือประพันธ์เพลงนั้น ครูหลวงประดิษฐ์ฯท่านต้องมาขับเคี่ยวการเเต่งเพลงกับครูจางวางทั่ว จนเกิดสงครามทางเพลงในยุคก่อนที่เรียกกันว่าทาง ฝั่งพระนครกับทางฝั่งธนฯ ก็คือสำนักของครูหลวงประดิษฐ์จะอยู่เเถวบ้านบาตร เเขวงสำราษฏร์ในปัจจุบันนี้ จังหวัดกรุงเทพฯหรือจังหวัดพระนครในยุคก่อน ส่วนครูจางวางทั่ว นั้นจะอยู่ย่านวัดกัลยาณมิตร ก็คือข้ามสะพานพุธเลี้ยวขวาไปหน่อยเดียว เเต่ตอนในยุคนั้นยังคงเป็นจังหวัดธนบุรี ก็คือยังไม่รวมเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ก่อนที่จะมาเป็นกรุงเทพมหานคร ในปัจจุบันนี้นั่นเเหละครับ
ทางเพลงของครูหลวงประดิษฐ์ฯนั้นอาจจะได้รับความนิยมมากกว่าทางของครูจางวางทั่ว เนื่องจากมีคนนิยมไปใช้เล่นใช้บรรเลงกันมากกว่า ส่วนทางของท่านครูจางวางทั่วนั้นอาจจะมีคนนิยมเล่นน้อยกว่าเเต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความไพเราะนั้นสู้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะครูหลวงประดิษฐ์ฯ ท่านนั้นมีลูกศิษย์ลูกหามากกว่าก็เลยนำเพลงของท่านไปเผยเเพร่กันมากกว่าทางจางวางทั่ว นั่นเองเเหละครับ
ผมเขียนจากความรู้สึกของผม ทั้งๆที่คุณพ่อผมเองนั้นก็เป็นสายทางฝั่งพระนครเเละเป็นศิษย์ของครูหลวงประดิษฐ์ฯอีกด้วยครับ ผมเองในวัยเด็กจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเล่นเพลงทางฝั่งพระนครเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมเองนั้นก็ได้เคยต่อเพลงในบางเพลงของทางจาวางทั่ว ซึ่งก็คือเพลงพม่า 5 ท่อน เเละตัวผมเองก็ได้ต่อเพลงนี้ทางของครูหลวงประดิษฐ์ฯ รวมถึงทางของครูพุ่ม โตสง่า คุณปู่ผมของเองอีกด้วยครับ รวมแล้วก็เป็น 3 ทาง กับเพลงพม่า 5 ท่อนเพลงนี้ เเละผมนั้นสามารถรับรู้ได้เลยว่า ทางของครูจางวางทั่วนั้นลึกซึ้งละเอียดอ่อน ทำนองเพลงนั้นตียากมากที่สุด
ย้อนมาปัจจุบันนี้หลังจากที่ผมเริ่มที่จะอยู่ในวัยฉกรรณ์ตลอดระยะเวลาความเป็นวัยรุ่นผมเองก็จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของการประชันวงปี่พาทย์เรียกว่าชอบเป็นชีวิตจิตใจก็ว่าได้เพราะเนื่องากผมได้ติดตามคุณพ่อของผมครูสุพจน์ โตสง่า ไปประชันปี่พาทย์ตามงานต่างๆ ตั้งเเต่ผมยังอยู่ในวัยเยาว์ 2 ขวบ จึงไม่เเปลกหรอกครับที่ลูกชายของนักรบนั้นจะบ้าสงครามในยามเมื่อเขาเติบโตขึ้นมา
พอเมื่อผมอายุ 18 คุณพ่อผมได้อพยพสำนักปี่พาทย์จากย่านอนุเสาวรย์ชัยสมรภูมิ มาอยู่ยังย่านเพชรเกษม หนองเเขม ใกล้ๆกับวัดราษฎร์บำรุง ง่ายว่าก็คือฝั่งธนบุรีนั่นเองเเหละครับ ในตอนเเรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรก็ยังคงที่ชอบขึ้นเวทีประชันต่างๆอยู่เหมือนเดิม แต่พอมาเริ่มรู้จักวงปี่พาทย์ต่างๆที่อยู่ในย่านฝั่งธนบุรีผมก็เริ่มที่จะรับรู้เเล้วว่านักดนตรีปี่พาทย์หริอศิลปินที่อยู่เเถวย่านฝั่งธนบุรีเขาไม่ค่อยนิยมการประชันปี่พาทย์เหมือนกับนักดนตรีปี่พาทย์ที่อยู่ทางฝั่งกรุงเทพฯ ก็คือศิลปินย่านฝั่งธนบุรีเขามักจะที่จะเล่นดนตรีปี่พาทย์เอาไว้เพื่อประกอบสัมมาชีพหรือเล่นเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองเสียมากกว่าเเละส่วนใหญ่ทั้งโต้โผหรือลูกวงนั้นก็จะรู้จักคุ้นเคยกันทุกๆวง รวมถึงตัวผมเเละลูกวงของผมในยุคปัจจุบันนี้ด้วยครับ พวกเราไม่เคยที่จะประชันกันเองหรืออาจจะมีบ้างเเต่ก็นานมามากเเล้วก็คือช่วงนั้นวงผมก็ยังติดนิสัยเดิมๆที่นิยมการประชันปี่พาทย์ซึ่งมันอยู่ในสายเลือดของผมเองนั่นเเหละครับ
ย้อนไปเมื่อปี พศ.2546 ในข่วงนั้นผมเริ่มที่จะเเต่งเพลงไทยสากลเเละผมได้เขียนเพลงสไตล์ลูกทุ่งเอาไว้ 1 เพลง ที่สำคัญคือผมไม่ได้คิดว่าจะเเต่งเอาไปเพื่อทำการใดๆ เพียงเเต่ตอนนั้นสมองของผมมันไหลรื่นรวดเร็วในเรื่องการเเต่งเพลงไทยสากลอาจเป็นเพราะผมเริ่มอิ่มตัวจากการเเต่งเพลงไทยเดิมก็เป็นไปได้ ประกอบกับในช่วงนั้นเริ่มที่รู้เเล้วว่าศิลปินปี่พาทย์แถวๆย่านฝั่งธนบุรีนั้นส่วนใหญ่เขาจะเล่นดนตรีปี่พาทย์เพื่อประกอบอาขีพมากกว่าการประชันขันเเข่ง เเละที่สำคัญไปกว่าสิ่งใดๆนั้นก็คือผมได้คิดถึงครูจางวางทั่ว ว่าตัวท่านนั้นได้เเต่งเพลงไทยเดิมเอาไว้เเบบล้ำลึกวิจิตรพิศดาร เเต่ทำไมท่านถึงไม่เคยประมือประชันวงกับครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ หรือว่าท่านไม่มีฝีมือในการบรรเลงเครื่องดนตรี หรือว่าท่านเคยประชันกันเเล้วเเต่เราเองอาจจะไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เป็นไปได้ แต่พอคิดไปคิดมาเเล้วก็เลยสรุปด้วยตัวเองซะเลยว่า ครูจางวางทั่วท่านคงจะมีนิสัยเหมือนกับนักดนตรีฝั่งธนในยุคปัจจุบันนี้นั่นเเหละ ก็คือท่านคงอาจจะชอบเล่นดนตรีปี่พาทย์หรือเเต่งเพลงด้วยความสุนทรียภาพมากกว่าที่จะนำเอาเพลงของท่านที่เเต่งไว้มาประชันเเข่งขันกัน
ประกอบกับนักดนตรีไทยทางย่านฝั่งธนบรีนั้นก็มีความสนิทสนมกลมเกลียวเหมือนพี่เหมือนน้องกันเกือบๆจะทุกวง ดังนั้นสมองของผมจึงได้ประมวลผลและกลั่นกรองออกมาเป็นบทเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งชนิดที่เรียกว่าเเต่งคืนเดียวจบ เพราะด้วยเเรงบันดาลใจมันสูงมากครับ
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในปีต่อมาผมนั้นได้โด่งดังจากภาพยนต์เรื่องโหมโรง เรื่องราวเเละงานต่างๆมันเข้ามาหาผมอย่างมากมายจนมันทำให้ผมลืมไปเลยว่าผมเคยเเต่งเพลงลูกทุ่งเอาไว้เพลงหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า "ศิลปินฝั่งธน" และสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้ก็คือผมได้เขียนในคอลัมน์ลงในบล๊อคเกอร์เรื่อง Volume ดนตรีไทย ที่มีเรื่องราวของศิลปินเเดนไกลเข้ามาแย่งรับงานปี่พาทย์ตัดราคาให้ถูกลงตามวัดเเถวย่านฝั่งธนฯบ้านผมนี่เอง เเล้วพอเขียนเรื่องนี้จบมันจึงทำให้ผมได้คิดถึงเพลงนี้ขึ้นมาในทันทีทันใด เเละพอเมื่อผมไปค้นเนื้อร้องเพลงที่เก็บเอาไว้ในตู้เก็บเอกสารเจอ ผมก็ยกหูต่อสายโทรศัพท์คุยกับน้องโอ๊ค ดราก้อนไฟว์ ว่าให้ช่วยโปรเเกรมเพลงเเละช่วยเรียบเรียงเพลงนี้ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ได้ติดต่อน้องนัทนักร้องเพื่อนของผมในเฟสบุ๊ค ให้มาช่วยร้องเพลงนี้เเละสุดท้ายทุกสิ่งอย่างก็สำเร็จเสร็จสิ้น ซึ่งเพลงก็พร้อมเเล้วที่จะเสิร์ฟเข้าหูของทุกๆท่าน ทางเวปไซด์ เฟสบุ๊ค ยูทูป ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตัวผมเองครับ
ในบทเพลงนี้ ทำนองนั้นไพเราะเเละสนุกเเบบเนิบๆพอที่จะโยกหัวกันไปมาตามทำนองเพลงได้ เเต่ก็คงไม่ต้องถึงกับไปตามพวกสายย่อให้มาร่วมวงเต้นกันหรอกครับ ส่วนเนื้อหาเพลงนั้น สรุปโดยรวมได้เลยว่า ผมอยากให้เห็นธาตุเเท้เเละอารมณ์ของศิลปินย่านฝั่งธนที่มีเสียงดนตรีขัดเกลาให้เป็นคนดีกันได้ทุกคนนั่นเองเเหละครับ เอาเป็นว่าวันเสาร์นี้ทุกท่านนั้นรอสดับรับฟังบทเพลงศิลปินฝั่งธนของผมกันได้เลยครับ ในบทเพลงนี้ถ้ามีความดีในส่วนใดๆ ผมขออุทิศให้กับครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ที่ท่านเป็นหนึ่งในเเรงบันดาลใจที่ทำให้ผมได้เเต่งเพลงนี้ขึ้นมา ถึงเเม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดทางเพลงดนตรีปี่พาทย์ของท่านโดยตรง เเต่อย่างน้อยผมก็ได้ยึดหลักการดำเนินชีวิตนักดนตรีไทยของครูจางวางทั่ว ที่ท่านนั้นรักสงบเเละมักประสพเเต่สิ่งสร้างสรรค์รูปรสที่สวยงามของดนตรี ซึ่งจะนำพาให้ชีวิตจิตใจของทุกๆคนนั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ให้สมกับคำว่าสุขภาพจิตที่ดีไม่มีขายตามท้องตลาด เเต่เหล่านักดนตรีไทยเรานั้นสามารถที่จะสร้างสุขภาพจิตสุขภาพใจให้ตัวเราเองได้ด้วยเสียงดนตรีของเรา เหมือนดั่งกับบทเพลงศิลปินฝั่งธน ของผมนั่นเองเเหละครับ
ครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะจัดว่าเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถมากที่สุดในยุคนั้นก็ว่าได้ เพราะเป็นนักดนตรีไทยที่มีฝีมือเเละการเเต่งเพลงชนิดที่เรียกว่าเป็นมือวางอันดับ 1 และในวงการดนตรีไทยก็จะทราบกันดีว่าท่านจะมีคู่เเข่งคู่ประชันที่ขับเคี่ยวกันมาโดยตลอดก็คือพระยาเสนาะดุริยางค์ ถ้าใครได้ชมภาพยนต์เรื่องโหมโรงผมกำลังจะบอกว่าขุนอินนั่นเเหละครับก็คือพระยาเสนาะดุริยางค์ คู่ปรับในชีวิตดนตรีแห่งความเป็นจริงของท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
ส่วนการเเต่งเพลงหรือประพันธ์เพลงนั้น ครูหลวงประดิษฐ์ฯท่านต้องมาขับเคี่ยวการเเต่งเพลงกับครูจางวางทั่ว จนเกิดสงครามทางเพลงในยุคก่อนที่เรียกกันว่าทาง ฝั่งพระนครกับทางฝั่งธนฯ ก็คือสำนักของครูหลวงประดิษฐ์จะอยู่เเถวบ้านบาตร เเขวงสำราษฏร์ในปัจจุบันนี้ จังหวัดกรุงเทพฯหรือจังหวัดพระนครในยุคก่อน ส่วนครูจางวางทั่ว นั้นจะอยู่ย่านวัดกัลยาณมิตร ก็คือข้ามสะพานพุธเลี้ยวขวาไปหน่อยเดียว เเต่ตอนในยุคนั้นยังคงเป็นจังหวัดธนบุรี ก็คือยังไม่รวมเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ก่อนที่จะมาเป็นกรุงเทพมหานคร ในปัจจุบันนี้นั่นเเหละครับ
ทางเพลงของครูหลวงประดิษฐ์ฯนั้นอาจจะได้รับความนิยมมากกว่าทางของครูจางวางทั่ว เนื่องจากมีคนนิยมไปใช้เล่นใช้บรรเลงกันมากกว่า ส่วนทางของท่านครูจางวางทั่วนั้นอาจจะมีคนนิยมเล่นน้อยกว่าเเต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความไพเราะนั้นสู้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะครูหลวงประดิษฐ์ฯ ท่านนั้นมีลูกศิษย์ลูกหามากกว่าก็เลยนำเพลงของท่านไปเผยเเพร่กันมากกว่าทางจางวางทั่ว นั่นเองเเหละครับ
ผมเขียนจากความรู้สึกของผม ทั้งๆที่คุณพ่อผมเองนั้นก็เป็นสายทางฝั่งพระนครเเละเป็นศิษย์ของครูหลวงประดิษฐ์ฯอีกด้วยครับ ผมเองในวัยเด็กจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเล่นเพลงทางฝั่งพระนครเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมเองนั้นก็ได้เคยต่อเพลงในบางเพลงของทางจาวางทั่ว ซึ่งก็คือเพลงพม่า 5 ท่อน เเละตัวผมเองก็ได้ต่อเพลงนี้ทางของครูหลวงประดิษฐ์ฯ รวมถึงทางของครูพุ่ม โตสง่า คุณปู่ผมของเองอีกด้วยครับ รวมแล้วก็เป็น 3 ทาง กับเพลงพม่า 5 ท่อนเพลงนี้ เเละผมนั้นสามารถรับรู้ได้เลยว่า ทางของครูจางวางทั่วนั้นลึกซึ้งละเอียดอ่อน ทำนองเพลงนั้นตียากมากที่สุด
ย้อนมาปัจจุบันนี้หลังจากที่ผมเริ่มที่จะอยู่ในวัยฉกรรณ์ตลอดระยะเวลาความเป็นวัยรุ่นผมเองก็จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของการประชันวงปี่พาทย์เรียกว่าชอบเป็นชีวิตจิตใจก็ว่าได้เพราะเนื่องากผมได้ติดตามคุณพ่อของผมครูสุพจน์ โตสง่า ไปประชันปี่พาทย์ตามงานต่างๆ ตั้งเเต่ผมยังอยู่ในวัยเยาว์ 2 ขวบ จึงไม่เเปลกหรอกครับที่ลูกชายของนักรบนั้นจะบ้าสงครามในยามเมื่อเขาเติบโตขึ้นมา
พอเมื่อผมอายุ 18 คุณพ่อผมได้อพยพสำนักปี่พาทย์จากย่านอนุเสาวรย์ชัยสมรภูมิ มาอยู่ยังย่านเพชรเกษม หนองเเขม ใกล้ๆกับวัดราษฎร์บำรุง ง่ายว่าก็คือฝั่งธนบุรีนั่นเองเเหละครับ ในตอนเเรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรก็ยังคงที่ชอบขึ้นเวทีประชันต่างๆอยู่เหมือนเดิม แต่พอมาเริ่มรู้จักวงปี่พาทย์ต่างๆที่อยู่ในย่านฝั่งธนบุรีผมก็เริ่มที่จะรับรู้เเล้วว่านักดนตรีปี่พาทย์หริอศิลปินที่อยู่เเถวย่านฝั่งธนบุรีเขาไม่ค่อยนิยมการประชันปี่พาทย์เหมือนกับนักดนตรีปี่พาทย์ที่อยู่ทางฝั่งกรุงเทพฯ ก็คือศิลปินย่านฝั่งธนบุรีเขามักจะที่จะเล่นดนตรีปี่พาทย์เอาไว้เพื่อประกอบสัมมาชีพหรือเล่นเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองเสียมากกว่าเเละส่วนใหญ่ทั้งโต้โผหรือลูกวงนั้นก็จะรู้จักคุ้นเคยกันทุกๆวง รวมถึงตัวผมเเละลูกวงของผมในยุคปัจจุบันนี้ด้วยครับ พวกเราไม่เคยที่จะประชันกันเองหรืออาจจะมีบ้างเเต่ก็นานมามากเเล้วก็คือช่วงนั้นวงผมก็ยังติดนิสัยเดิมๆที่นิยมการประชันปี่พาทย์ซึ่งมันอยู่ในสายเลือดของผมเองนั่นเเหละครับ
ย้อนไปเมื่อปี พศ.2546 ในข่วงนั้นผมเริ่มที่จะเเต่งเพลงไทยสากลเเละผมได้เขียนเพลงสไตล์ลูกทุ่งเอาไว้ 1 เพลง ที่สำคัญคือผมไม่ได้คิดว่าจะเเต่งเอาไปเพื่อทำการใดๆ เพียงเเต่ตอนนั้นสมองของผมมันไหลรื่นรวดเร็วในเรื่องการเเต่งเพลงไทยสากลอาจเป็นเพราะผมเริ่มอิ่มตัวจากการเเต่งเพลงไทยเดิมก็เป็นไปได้ ประกอบกับในช่วงนั้นเริ่มที่รู้เเล้วว่าศิลปินปี่พาทย์แถวๆย่านฝั่งธนบุรีนั้นส่วนใหญ่เขาจะเล่นดนตรีปี่พาทย์เพื่อประกอบอาขีพมากกว่าการประชันขันเเข่ง เเละที่สำคัญไปกว่าสิ่งใดๆนั้นก็คือผมได้คิดถึงครูจางวางทั่ว ว่าตัวท่านนั้นได้เเต่งเพลงไทยเดิมเอาไว้เเบบล้ำลึกวิจิตรพิศดาร เเต่ทำไมท่านถึงไม่เคยประมือประชันวงกับครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ หรือว่าท่านไม่มีฝีมือในการบรรเลงเครื่องดนตรี หรือว่าท่านเคยประชันกันเเล้วเเต่เราเองอาจจะไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เป็นไปได้ แต่พอคิดไปคิดมาเเล้วก็เลยสรุปด้วยตัวเองซะเลยว่า ครูจางวางทั่วท่านคงจะมีนิสัยเหมือนกับนักดนตรีฝั่งธนในยุคปัจจุบันนี้นั่นเเหละ ก็คือท่านคงอาจจะชอบเล่นดนตรีปี่พาทย์หรือเเต่งเพลงด้วยความสุนทรียภาพมากกว่าที่จะนำเอาเพลงของท่านที่เเต่งไว้มาประชันเเข่งขันกัน
ประกอบกับนักดนตรีไทยทางย่านฝั่งธนบรีนั้นก็มีความสนิทสนมกลมเกลียวเหมือนพี่เหมือนน้องกันเกือบๆจะทุกวง ดังนั้นสมองของผมจึงได้ประมวลผลและกลั่นกรองออกมาเป็นบทเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งชนิดที่เรียกว่าเเต่งคืนเดียวจบ เพราะด้วยเเรงบันดาลใจมันสูงมากครับ
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในปีต่อมาผมนั้นได้โด่งดังจากภาพยนต์เรื่องโหมโรง เรื่องราวเเละงานต่างๆมันเข้ามาหาผมอย่างมากมายจนมันทำให้ผมลืมไปเลยว่าผมเคยเเต่งเพลงลูกทุ่งเอาไว้เพลงหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า "ศิลปินฝั่งธน" และสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้ก็คือผมได้เขียนในคอลัมน์ลงในบล๊อคเกอร์เรื่อง Volume ดนตรีไทย ที่มีเรื่องราวของศิลปินเเดนไกลเข้ามาแย่งรับงานปี่พาทย์ตัดราคาให้ถูกลงตามวัดเเถวย่านฝั่งธนฯบ้านผมนี่เอง เเล้วพอเขียนเรื่องนี้จบมันจึงทำให้ผมได้คิดถึงเพลงนี้ขึ้นมาในทันทีทันใด เเละพอเมื่อผมไปค้นเนื้อร้องเพลงที่เก็บเอาไว้ในตู้เก็บเอกสารเจอ ผมก็ยกหูต่อสายโทรศัพท์คุยกับน้องโอ๊ค ดราก้อนไฟว์ ว่าให้ช่วยโปรเเกรมเพลงเเละช่วยเรียบเรียงเพลงนี้ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ได้ติดต่อน้องนัทนักร้องเพื่อนของผมในเฟสบุ๊ค ให้มาช่วยร้องเพลงนี้เเละสุดท้ายทุกสิ่งอย่างก็สำเร็จเสร็จสิ้น ซึ่งเพลงก็พร้อมเเล้วที่จะเสิร์ฟเข้าหูของทุกๆท่าน ทางเวปไซด์ เฟสบุ๊ค ยูทูป ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตัวผมเองครับ
ในบทเพลงนี้ ทำนองนั้นไพเราะเเละสนุกเเบบเนิบๆพอที่จะโยกหัวกันไปมาตามทำนองเพลงได้ เเต่ก็คงไม่ต้องถึงกับไปตามพวกสายย่อให้มาร่วมวงเต้นกันหรอกครับ ส่วนเนื้อหาเพลงนั้น สรุปโดยรวมได้เลยว่า ผมอยากให้เห็นธาตุเเท้เเละอารมณ์ของศิลปินย่านฝั่งธนที่มีเสียงดนตรีขัดเกลาให้เป็นคนดีกันได้ทุกคนนั่นเองเเหละครับ เอาเป็นว่าวันเสาร์นี้ทุกท่านนั้นรอสดับรับฟังบทเพลงศิลปินฝั่งธนของผมกันได้เลยครับ ในบทเพลงนี้ถ้ามีความดีในส่วนใดๆ ผมขออุทิศให้กับครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ที่ท่านเป็นหนึ่งในเเรงบันดาลใจที่ทำให้ผมได้เเต่งเพลงนี้ขึ้นมา ถึงเเม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดทางเพลงดนตรีปี่พาทย์ของท่านโดยตรง เเต่อย่างน้อยผมก็ได้ยึดหลักการดำเนินชีวิตนักดนตรีไทยของครูจางวางทั่ว ที่ท่านนั้นรักสงบเเละมักประสพเเต่สิ่งสร้างสรรค์รูปรสที่สวยงามของดนตรี ซึ่งจะนำพาให้ชีวิตจิตใจของทุกๆคนนั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ให้สมกับคำว่าสุขภาพจิตที่ดีไม่มีขายตามท้องตลาด เเต่เหล่านักดนตรีไทยเรานั้นสามารถที่จะสร้างสุขภาพจิตสุขภาพใจให้ตัวเราเองได้ด้วยเสียงดนตรีของเรา เหมือนดั่งกับบทเพลงศิลปินฝั่งธน ของผมนั่นเองเเหละครับ
ขุนอิน
ปูเสื่อรอคับ
ตอบลบอ่านเเล้วรู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ
ลบสุดยอดเลยครับ
ตอบลบพรุ่งนี้รอฟังเพลงนะครับ
ตอบลบรอคับ..
ลบ