วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ศิลปินฝั่งธน

     ย้อนไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 ดนตรีไทยในยุคนั้นถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด นักดนตรีในสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็จะประจำอยู่ตามวังต่างๆเเละก็มีหลายต่อหลายท่านก็จะได้รับพระราชทานบรรดาศ้กดิ์หรือพระราชทินนามช่น หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) พระยาเสนาะดุริยางค์(แช่ม สุนทรวาทิน) จางวางทั่ว พาทยโกศลเเละยังมีท่านอื่นๆอีกมามายที่ได้รับที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ต่างกันไป
     ครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะจัดว่าเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถมากที่สุดในยุคนั้นก็ว่าได้ เพราะเป็นนักดนตรีไทยที่มีฝีมือเเละการเเต่งเพลงชนิดที่เรียกว่าเป็นมือวางอันดับ 1 และในวงการดนตรีไทยก็จะทราบกันดีว่าท่านจะมีคู่เเข่งคู่ประชันที่ขับเคี่ยวกันมาโดยตลอดก็คือพระยาเสนาะดุริยางค์ ถ้าใครได้ชมภาพยนต์เรื่องโหมโรงผมกำลังจะบอกว่าขุนอินนั่นเเหละครับก็คือพระยาเสนาะดุริยางค์ คู่ปรับในชีวิตดนตรีแห่งความเป็นจริงของท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
     ส่วนการเเต่งเพลงหรือประพันธ์เพลงนั้น ครูหลวงประดิษฐ์ฯท่านต้องมาขับเคี่ยวการเเต่งเพลงกับครูจางวางทั่ว จนเกิดสงครามทางเพลงในยุคก่อนที่เรียกกันว่าทาง ฝั่งพระนครกับทางฝั่งธนฯ ก็คือสำนักของครูหลวงประดิษฐ์จะอยู่เเถวบ้านบาตร เเขวงสำราษฏร์ในปัจจุบันนี้ จังหวัดกรุงเทพฯหรือจังหวัดพระนครในยุคก่อน ส่วนครูจางวางทั่ว นั้นจะอยู่ย่านวัดกัลยาณมิตร ก็คือข้ามสะพานพุธเลี้ยวขวาไปหน่อยเดียว เเต่ตอนในยุคนั้นยังคงเป็นจังหวัดธนบุรี ก็คือยังไม่รวมเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ก่อนที่จะมาเป็นกรุงเทพมหานคร ในปัจจุบันนี้นั่นเเหละครับ
     ทางเพลงของครูหลวงประดิษฐ์ฯนั้นอาจจะได้รับความนิยมมากกว่าทางของครูจางวางทั่ว เนื่องจากมีคนนิยมไปใช้เล่นใช้บรรเลงกันมากกว่า ส่วนทางของท่านครูจางวางทั่วนั้นอาจจะมีคนนิยมเล่นน้อยกว่าเเต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความไพเราะนั้นสู้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะครูหลวงประดิษฐ์ฯ ท่านนั้นมีลูกศิษย์ลูกหามากกว่าก็เลยนำเพลงของท่านไปเผยเเพร่กันมากกว่าทางจางวางทั่ว นั่นเองเเหละครับ
     ผมเขียนจากความรู้สึกของผม ทั้งๆที่คุณพ่อผมเองนั้นก็เป็นสายทางฝั่งพระนครเเละเป็นศิษย์ของครูหลวงประดิษฐ์ฯอีกด้วยครับ ผมเองในวัยเด็กจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเล่นเพลงทางฝั่งพระนครเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมเองนั้นก็ได้เคยต่อเพลงในบางเพลงของทางจาวางทั่ว ซึ่งก็คือเพลงพม่า 5 ท่อน เเละตัวผมเองก็ได้ต่อเพลงนี้ทางของครูหลวงประดิษฐ์ฯ รวมถึงทางของครูพุ่ม โตสง่า คุณปู่ผมของเองอีกด้วยครับ รวมแล้วก็เป็น 3 ทาง กับเพลงพม่า 5 ท่อนเพลงนี้ เเละผมนั้นสามารถรับรู้ได้เลยว่า ทางของครูจางวางทั่วนั้นลึกซึ้งละเอียดอ่อน ทำนองเพลงนั้นตียากมากที่สุด
     ย้อนมาปัจจุบันนี้หลังจากที่ผมเริ่มที่จะอยู่ในวัยฉกรรณ์ตลอดระยะเวลาความเป็นวัยรุ่นผมเองก็จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของการประชันวงปี่พาทย์เรียกว่าชอบเป็นชีวิตจิตใจก็ว่าได้เพราะเนื่องากผมได้ติดตามคุณพ่อของผมครูสุพจน์ โตสง่า ไปประชันปี่พาทย์ตามงานต่างๆ ตั้งเเต่ผมยังอยู่ในวัยเยาว์ 2 ขวบ จึงไม่เเปลกหรอกครับที่ลูกชายของนักรบนั้นจะบ้าสงครามในยามเมื่อเขาเติบโตขึ้นมา
      พอเมื่อผมอายุ 18 คุณพ่อผมได้อพยพสำนักปี่พาทย์จากย่านอนุเสาวรย์ชัยสมรภูมิ มาอยู่ยังย่านเพชรเกษม หนองเเขม ใกล้ๆกับวัดราษฎร์บำรุง ง่ายว่าก็คือฝั่งธนบุรีนั่นเองเเหละครับ ในตอนเเรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรก็ยังคงที่ชอบขึ้นเวทีประชันต่างๆอยู่เหมือนเดิม แต่พอมาเริ่มรู้จักวงปี่พาทย์ต่างๆที่อยู่ในย่านฝั่งธนบุรีผมก็เริ่มที่จะรับรู้เเล้วว่านักดนตรีปี่พาทย์หริอศิลปินที่อยู่เเถวย่านฝั่งธนบุรีเขาไม่ค่อยนิยมการประชันปี่พาทย์เหมือนกับนักดนตรีปี่พาทย์ที่อยู่ทางฝั่งกรุงเทพฯ ก็คือศิลปินย่านฝั่งธนบุรีเขามักจะที่จะเล่นดนตรีปี่พาทย์เอาไว้เพื่อประกอบสัมมาชีพหรือเล่นเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองเสียมากกว่าเเละส่วนใหญ่ทั้งโต้โผหรือลูกวงนั้นก็จะรู้จักคุ้นเคยกันทุกๆวง รวมถึงตัวผมเเละลูกวงของผมในยุคปัจจุบันนี้ด้วยครับ พวกเราไม่เคยที่จะประชันกันเองหรืออาจจะมีบ้างเเต่ก็นานมามากเเล้วก็คือช่วงนั้นวงผมก็ยังติดนิสัยเดิมๆที่นิยมการประชันปี่พาทย์ซึ่งมันอยู่ในสายเลือดของผมเองนั่นเเหละครับ
     ย้อนไปเมื่อปี พศ.2546 ในข่วงนั้นผมเริ่มที่จะเเต่งเพลงไทยสากลเเละผมได้เขียนเพลงสไตล์ลูกทุ่งเอาไว้ 1 เพลง ที่สำคัญคือผมไม่ได้คิดว่าจะเเต่งเอาไปเพื่อทำการใดๆ เพียงเเต่ตอนนั้นสมองของผมมันไหลรื่นรวดเร็วในเรื่องการเเต่งเพลงไทยสากลอาจเป็นเพราะผมเริ่มอิ่มตัวจากการเเต่งเพลงไทยเดิมก็เป็นไปได้ ประกอบกับในช่วงนั้นเริ่มที่รู้เเล้วว่าศิลปินปี่พาทย์แถวๆย่านฝั่งธนบุรีนั้นส่วนใหญ่เขาจะเล่นดนตรีปี่พาทย์เพื่อประกอบอาขีพมากกว่าการประชันขันเเข่ง เเละที่สำคัญไปกว่าสิ่งใดๆนั้นก็คือผมได้คิดถึงครูจางวางทั่ว ว่าตัวท่านนั้นได้เเต่งเพลงไทยเดิมเอาไว้เเบบล้ำลึกวิจิตรพิศดาร เเต่ทำไมท่านถึงไม่เคยประมือประชันวงกับครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ หรือว่าท่านไม่มีฝีมือในการบรรเลงเครื่องดนตรี หรือว่าท่านเคยประชันกันเเล้วเเต่เราเองอาจจะไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เป็นไปได้ แต่พอคิดไปคิดมาเเล้วก็เลยสรุปด้วยตัวเองซะเลยว่า ครูจางวางทั่วท่านคงจะมีนิสัยเหมือนกับนักดนตรีฝั่งธนในยุคปัจจุบันนี้นั่นเเหละ ก็คือท่านคงอาจจะชอบเล่นดนตรีปี่พาทย์หรือเเต่งเพลงด้วยความสุนทรียภาพมากกว่าที่จะนำเอาเพลงของท่านที่เเต่งไว้มาประชันเเข่งขันกัน
     ประกอบกับนักดนตรีไทยทางย่านฝั่งธนบรีนั้นก็มีความสนิทสนมกลมเกลียวเหมือนพี่เหมือนน้องกันเกือบๆจะทุกวง ดังนั้นสมองของผมจึงได้ประมวลผลและกลั่นกรองออกมาเป็นบทเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งชนิดที่เรียกว่าเเต่งคืนเดียวจบ เพราะด้วยเเรงบันดาลใจมันสูงมากครับ
     วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในปีต่อมาผมนั้นได้โด่งดังจากภาพยนต์เรื่องโหมโรง เรื่องราวเเละงานต่างๆมันเข้ามาหาผมอย่างมากมายจนมันทำให้ผมลืมไปเลยว่าผมเคยเเต่งเพลงลูกทุ่งเอาไว้เพลงหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า "ศิลปินฝั่งธน" และสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้ก็คือผมได้เขียนในคอลัมน์ลงในบล๊อคเกอร์เรื่อง Volume ดนตรีไทย ที่มีเรื่องราวของศิลปินเเดนไกลเข้ามาแย่งรับงานปี่พาทย์ตัดราคาให้ถูกลงตามวัดเเถวย่านฝั่งธนฯบ้านผมนี่เอง เเล้วพอเขียนเรื่องนี้จบมันจึงทำให้ผมได้คิดถึงเพลงนี้ขึ้นมาในทันทีทันใด เเละพอเมื่อผมไปค้นเนื้อร้องเพลงที่เก็บเอาไว้ในตู้เก็บเอกสารเจอ ผมก็ยกหูต่อสายโทรศัพท์คุยกับน้องโอ๊ค ดราก้อนไฟว์ ว่าให้ช่วยโปรเเกรมเพลงเเละช่วยเรียบเรียงเพลงนี้ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ได้ติดต่อน้องนัทนักร้องเพื่อนของผมในเฟสบุ๊ค ให้มาช่วยร้องเพลงนี้เเละสุดท้ายทุกสิ่งอย่างก็สำเร็จเสร็จสิ้น ซึ่งเพลงก็พร้อมเเล้วที่จะเสิร์ฟเข้าหูของทุกๆท่าน ทางเวปไซด์ เฟสบุ๊ค ยูทูป ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตัวผมเองครับ
     ในบทเพลงนี้ ทำนองนั้นไพเราะเเละสนุกเเบบเนิบๆพอที่จะโยกหัวกันไปมาตามทำนองเพลงได้ เเต่ก็คงไม่ต้องถึงกับไปตามพวกสายย่อให้มาร่วมวงเต้นกันหรอกครับ ส่วนเนื้อหาเพลงนั้น สรุปโดยรวมได้เลยว่า ผมอยากให้เห็นธาตุเเท้เเละอารมณ์ของศิลปินย่านฝั่งธนที่มีเสียงดนตรีขัดเกลาให้เป็นคนดีกันได้ทุกคนนั่นเองเเหละครับ เอาเป็นว่าวันเสาร์นี้ทุกท่านนั้นรอสดับรับฟังบทเพลงศิลปินฝั่งธนของผมกันได้เลยครับ ในบทเพลงนี้ถ้ามีความดีในส่วนใดๆ ผมขออุทิศให้กับครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ที่ท่านเป็นหนึ่งในเเรงบันดาลใจที่ทำให้ผมได้เเต่งเพลงนี้ขึ้นมา ถึงเเม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดทางเพลงดนตรีปี่พาทย์ของท่านโดยตรง เเต่อย่างน้อยผมก็ได้ยึดหลักการดำเนินชีวิตนักดนตรีไทยของครูจางวางทั่ว ที่ท่านนั้นรักสงบเเละมักประสพเเต่สิ่งสร้างสรรค์รูปรสที่สวยงามของดนตรี ซึ่งจะนำพาให้ชีวิตจิตใจของทุกๆคนนั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ให้สมกับคำว่าสุขภาพจิตที่ดีไม่มีขายตามท้องตลาด เเต่เหล่านักดนตรีไทยเรานั้นสามารถที่จะสร้างสุขภาพจิตสุขภาพใจให้ตัวเราเองได้ด้วยเสียงดนตรีของเรา เหมือนดั่งกับบทเพลงศิลปินฝั่งธน ของผมนั่นเองเเหละครับ
                                                                                                               
                                                                                                                     ขุนอิน

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

    Volumeใคร   Volumeมัน

วงปี่พาทย์มอญเด็กนักเรียน สำหรับผมแล้วนั้น มันคือหนามยอกเอาหนามบ่ง


     ต่อเนื่องจากเมื่อฉบับที่เเล้วหลังจากที่ผมได้เขียนเรื่องการรับงานปี่พาทย์เเล้วตัดราคากันไปมาเเถวๆย่านฝั่งธนบ้านผม ตั้งเเต่เมื่อ 20 กว่าปีที่เเล้วจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ให้เห็นกันเหมือนเดิมเเละบ่อยครั้งก็จะมีมาประณามกันให้เห็นอยู่ในโลกโซเชี่ยล ซึ่งตรงนี้การเเก้ปัญหาผมบอกตรงๆว่ามันยากมากเพราะจะว่ากันจริงๆเเล้วสังคมไทยคนส่วนใหญ่ก็จะมีเเต่การเเก่งเเย่งชิงดี ตัวใครตัวมันต่างก็ต้องดิ้นรนหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองกันอยู่นานเเล้ว จะมีก็ส่วนน้อยจริงๆที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่นๆหรือสังคมเป็นหลัก        
     เรื่องการรับงานตัดราคาจะว่าไปแล้วมันคงเป็นเรื่องไม่มีใครผิดหรือถูกเพร่ะคำว่า Volume ในใจเเต่ละคนย่อมตั้งมาไม่เท่าเทียมกันอยู่เเล้วครับ มันคงมีเพียงเเค่ความเหมาะสมกับเเต่ละบุคคลหรือเเต่ละวงมากกว่า บางวงมีนักดนตรีระดับปานกลางก็อาจจะจ่ายค่าตัวคนละ 400 บาท 10 คนก็ 4000 บาทตัวโต้โผบวกค่ารถค่าเครื่องอีก 2000 บาทรวมเป็น 6000 บาทต่อ 1 เวลา ซึ่งราคานี้ผมว่าคงเป็นราคาที่รับกันทั่วไปในปัจจุบันนี้สำหรับวงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่ ในเเถวย่านฝั่งธนฯ บ้านผมเองนะครับ แต่ถ้าในบางวงโต้โผอาจจะจ่ายค่าตัวคนละ 500บาทหรือ 600 บาทต่อ 1 เวลา ราคาของวงนั้นก็ต้องกระเถิบขึ้นไป 8000 บาทเป็นอย่างน้อย แต่บางวงก็อาจจะใช้เด็กๆหัดใหม่ค่าตัวเด็กๆก็คงไม่เกิน 200 บาทต่อคน วงนั้นก็อาจจะรับในราคา 4000 บาทหรือต่ำกว่านิดหน่อยก็เป็นไปได้ แต่เมื่อไปรับราคาแบบนี้ในวัดต่างถิ่นมันก็จะกลายเป็นตัดราคาวงปี่พาทย์ที่เขาทำประจำอยู่ในวัดนั้นๆ ซึ่งสรุปได้ว่า Volume ของเเต่ละวงมันไม่เท่ากันนั่นเเหละครับ 
     ที่ผมเขียนมาเเบบนี้ใช่ว่าผมจะสนับสนุนหรือเข้าข้างวงที่รับราคาถูกกว่าหรือต่ำกว่านะครับ แต่เป็นเพราะผมเริ่มที่จะเข้าใจวงปี่พาทย์ที่มีระดับฝีมือที่อ่อนกว่าหรือเด็กกว่า ลองคิดในมุมกลับกันว่า ถ้าเราเอาเด็กๆหัดใหม่มาออกงานเเล้วรับราคาเท่าผู้ใหญ่ที่มีฝีมือเหนือกว่าก็คงจะไม่มีใครหางานวงเราเเน่ๆใช่ไหมครับ ในอดีตวงผมเองก็เคยโดนปี่พาทย์ต่างจังหวัดเข้ามารับราคาวัดราษฏร์บำรุงราวกับว่าของในสต๊อคกำลังจะบูดประมาณไส้กรอกไก่รมควันถุง 1 กิโลกรัม ราคา 120 บาท ลดเหลือ 79 บาท ประมาณนั้นเลยครับ เเต่มันเเย่ไปกว่านั้นคือเวลาวัดมีงานเทศมหาชาติหรือทำบุญกระดูกรวมญาติช่วงสงกรานต์วงผมก็ต้องไปตีให้ฟรีๆจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังต้องให้เด็กๆไปทำอยู่ มันจึงเป็นเเรงบวกกระตุกต่อมโมโหของผมไปยิ่งนัก นึกอยากจะกระซวกไส้คุณโต้โผวงเหล่านั้นเอาออกมาทำหนังเรียดกลองให้รู้เเล้วรู้รอดไปเลยครับ เเละผมก็ทราบดีว่าวงที่เข้ามาเเย่งงานที่วัดประจำของผมฆ้องมอญ 5 วงหรือ5 โค้งมีตีเป็นอยู่เเค่ 2 วงที่ เหลือก็ลิปซิงค์กันไปเกือบทั้งหมด เอาเเค่ตั้งเครื่องให้มันเยอะๆเข้าไว้ ประดับไฟให้พรึบพรับสวยงาม แถมมีป้ายโฆษณาสปอนเซอร์ประจำให้ดูดีมีมาตราฐานเท่านั้นเองครับ มันจึงทำให้ผมเลิกรับงานประจำที่วัดราษฎร์บำรุงเเห่งนี้ คือถ้ามีเข้ามาผมก็จะโยนให้วงลูกศิษย์ผมทำไปครับ ส่วนผมก็จะเจาะจงรับเเต่งานนอกวัดสนนราคาไม่อยากพูดถึงเขียนถึงเเค่หลักหมื่นกลางต่อ 1 เวลาครับผม
     เห็นได้ว่าผมเองก็ไม่ได้สนับสนุนพวกที่รับงานถูกกว่าเเต่ผมพยายามมองโลกดนตรีไทยให้สวยงามเข้าไว้ มันดีกว่าที่จะมองเขาในเเง่ไม่ดีครับ  ส่วนทางเเก้ที่ผมเห็นมันมีให้ผมเลือกอยู่ 2แบบ ก็คืออย่างเเรกเราไปผูกราคากับเจ้าหน้าที่วัดหรือ ส.ป.ร. นั่นเเหละครับ ให้เขามีส่วนได้กับเราในราคาที่บวกขึ้นไป เท่าไหร่ก็เรื่องของเขาเพียงเเต่เลิกงานเคลียร์เงินมาให้เราตามราคาที่เราตั้งไว้เท่านั้นเอง ง่ายๆว่าให้สัปเหร่อรับงานให้นั่นเเหละครับ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามีหลายๆวงที่ทำอยู่เเล้วเเหละครับ  
     ส่วนอย่างที่2 ที่ผมเลือกที่จะทำมากกว่าก็คือสนับสนุนวงเด็กนักเรียนตามโรงเรียนลูกศิษย์ของผมเอง ซึ่งวิธีนี้มันคือวิธีการที่เรียกว่าหนามยอกเอาหนามบ่งครับ ขออนุญาตเขียนหยาบๆเลยว่า มึงมาถูกเท่าไหร่กูสามารถมาถูกได้เท่าๆมึง เพราะเด็กนักเรียนได้ค่าตัวคนละ 200 บาทก็ดีใจยันผู้ปกครองเเล้วละครับ ยิ่งเด็กๆผู้หญิงระดับประถมเเต่งชุดนักเรียนตีด้วยมันก็ดูดีขึ้นไปอีกครับ เเละคราวนี้ก็จะถึงกาลอวสานวงปี่พาทย์เเดนไกลที่ชอบมารับราคาตัดหน้าเเบบถูกๆอย่างเเน่นอนครับ เเถมยังเป็นการส่งเสริมเด็กนักเรียนให้ได้มีส่วนร่วมสืบสานดนตรีไทยเเละส่งเสริมให้เด็กได้มีอาชีพเสริมด้วยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และท้ายที่สุดเขาก็จะเห็นคุณค่าของดนตรีไทยยามเมื่อพวกเขาเติบโตต่อไปในภายภาคหน้า เเละที่สำคัญเขาก็จะรู้ว่าอาชีพดนตรีไทยนั้นก็สามารถเป็นอาชีพที่ทำมาหาเลี้ยงปากท้องตัวเองได้ด้วยครับ


                                                                                                             ขุนอิน