วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560



   นวัตกรรมทางดนตรี 2




อัลบั้มออกมาในปี พศ.2551เเละเปลี่ยนชื่อเป็น ขุนอิน ออฟบีทสยาม

   ถ้าถามว่าทำไมผมถึงต้องเล่นดนตรีร่วมสมัยด้วยความจริงเเล้วในช่วงเริ่มเเรกผมเองก็ไม่ได้พิศวาสอะไรกับดนตรีเเนวนี้หรอกครับเรื่องมันก็มีอยู่ว่าหลังจากที่ครูจำเนียร ศรีไทยพรรณกับพี่ต๋องเทวัญ ทรัพย์แสนยากร ได้รวมตัวกันตั้งวงกังสดาลจึงได้รวบรวมนักดนตรีไทยเพื่อที่จะเข้ามาร่วมวงนี้ครูจำเนียร ศรีไทยพรรณจึงได้ติดต่อมาทางคุณพ่อของผมให้ตัวของผมนั้นเข้ามาร่วมวงดังสดาลในตำเเหน่งระนาดทุ้ม ซึ่งในยุคนั้นในวงการดนตรีไทยส่วนใหญ่จะรู้ถึงกิตติศัพท์ในการตีระนาดทุ้มกันเป็นอย่างดีเนื่องจากคนในวงการดนตรีไทยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้เห็นฝีมือการบรรเลงระนาดเอกของผมนั่นเองเเหละครับ จนกระทั่ง 3 ปีผ่านมาวงกังสดาลก็ถึงคราวล่มสลายในช่วงนั้นผมกับพี่ต๋องเทวัญ ทรัพย์เเสนยากรนั้นสนิทสนมกันมาก เเล้วพี่ต๋องก็ได้ไปตั้งวงดนตรีร่วมสมัยของท่านในนาม เทวัญ โนเวลเเจ๊ส ตัวผมเองนั้นก็ยังคงสังกัดอยู่ที่วงกังสดาล ที่ยังมีครูจำเนียร เป็นหัวหน้าวงเเละต่อมาก็ได้กลายมาเป็นวงบอยไทยในปี พศ.2535 ตอนนั้นถึงตัวผมยังอยู่วงบอยไทยแต่บอกตรงๆเลยว่าผมชื่นชอบแนวเพลงวงเทวัญ โนเวลเเจ๊ส ของพี่ต๋องมากกว่าครับ แต่ผมก็ยังคงอยู่วงบอยไทยเรื่อยมา จนกระทั่งในปี พศ. 2540 พี่ต๋อง เทวัญ ได้รับโปรเจคทำวงดนตรีร่วมสมัยกับนักเปียโนระดับโลกชาวสวิสฯที่ชื่อว่า มิสเตอร์ฟรองซัว ลินเดอร์แมน พี่ต๋องได้ชวนผมให้มาเป็นมือระนาดเอกในโปรเจ็คนี้ที่มีชื่อว่า 2 ขั้วจั่วเเจ๊ส เเละพี่ต๋องได้มอบหมายให้ผมคัดเลือกเพลงไทยเดิมส่งไปให้ฟรองซัว ลินเดอร์แมน ไปเรียบเรียงเเละหลังจากนั้นก็ได้ไปทำการแสดงครั้งเเรกเมื่อปี พศ.2540 ใน 4 เมืองของประเทศสวิสและอีก 1 เมืองของฝรั่งเศส และในปีต่อมาก็ไปทำการเเสดงที่ประเทศสวิสฯ อีก 3 เมืองพร้อมบันทึกเสียงอัลบั้มชุดนี้ออกมาที่ประเทศสวิสเซอร์เเลนด์ พร้อมทั้งนำอัลบั้มเพลงชุดนี้มาวางเเผงที่เมืองไทยอีกด้วยครับ ผลปรากฏว่าตัวอัลบั้มเพลงนั้นเป็นที่ยอมรับของวงการดนตรีไทยเเละสากลในยุคนั้นเป็นอย่างดีเเต่ว่าตัวผมนั้นโดนไล่ออกจากวงบอยไทยด้วยสาเหตุอะไรผมก็ไม่ทราบ เเต่ก็ผมเองก็จะเดาๆออกอยู่ในใจเหมือนกันเเหละครับ
     ออกครับ ไม่เป็นอะไรเพราะตอนนั้นผมเองก็ต้องคุมสำนักปี่พาทย์คณะศิษย์สุพจน์ โตสง่าของคุณพ่อผมอย่างเต็มตัวเพราะคุณพ่อผมได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้น ประกอบกับผมยังเป็นข้าราชการครูอยู่ที่โรงเรียนวัดห้วยจรเข้วิทยาคม จังหวัดนครปฐม ซึ่งแค่นั้นมันก็เหนื่อยพอควรเเล้วครับ แต่เรื่องราวมันไม่จบเพียงเเค่นั้นทางพี่ต๋องเทวัญ ได้ทราบข่าวการออกจากวงบอยไทยของผมจึงได้ชักชวนให้ผมได้มาร่วมวงเทวัญ โนเวลเเจ๊ส โดยให้ผมได้มาประจำการในตำเเหน่งระนาดเอกอย่างเต็มตัวอีกต่างหาก ซึ่งก็คงเป็นเพราะพี่ต๋องเทวัญอาจจะติดใจลีลาชั้นเชิงสไตล์ระนาดของผมเองกระมังครับ ส่วนตัวผมก็ไม่ลังเลเพราะโดยส่วนตัวผมเองก็ชอบแนวคิดเเละวิธีการทำเพลงเเนวนี้ของพี่ต๋องอยู่เเล้วประกอบกับตัวผมเองก็เหมือนกับนักเตะฟรีเอเย่นต์ไร้สังกัดจึงไม่ปฏิเสธที่จะไปร่วมกับวงเเห่งเเคว้นคาตาลัน อ้อไม่ใช่ครับวงเทวัญ โนเวลเเจ๊ส ตั้งเเต่เมื่อปีพศ. 2541เรื่อยมาครับ
     หลังจากนั้นพี่ต๋องได้ทำอัลบั้มโนเวลเเจ๊สชุดใหม่ขึ้นมาผมก็ช่วยพี่ต๋องหาเพลงไทยเดิมให้พี่ต๋องเรียบเรียงพร้อมบันทึกเสียงระนาดเอกให้อีกด้วยตอนนั้นเหมือนฝันที่เป็นจริงคือได้ย้ายมาร่วมกับวงดนตรีในฝันเเละก็ได้เดินทางไปแสดงกับวงพี่ต๋องอยู่ถึง6ปีกว่าก็ต้องเเยกทางกับวงพี่ต๋องทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอย่างนั้นเนื่องจากผมไปโด่งดังกับภาพยนต์เรื่องโหมโรงนั่นเองเเหละครับคืองานโชว์ตัวมันเยอะมากจริงๆช่วงนั้นมีงานทุกวันเฉลี่ยเเล้ววันละ 2 งานบางวันมีถึง 5 งาน 
     ช่วงนั้นผมไม่ได้โชว์ตัวอย่างเดียวเหมือนกับดาราคนอื่นๆเขาหรอกครับ คือทุกงานผมต้องไปโชว์ตีระนาดเอกซึ่งผมเหมือนกับมีทุกอย่างอยู่ในสมองมานานมากพอเเล้วพร้อมที่จะจัดโชว์ตามงานที่มีคอนเซ็ปต่างกันไป โดยหลักผมได้ตั้งวงดนตรีร่วมสมัยขึ้นมาใหม่ที่ใช้ชื้อว่า ขุนอิน ออฟเดอะบีท คือใช้ระนาดเอกรางเดียวซึ่งจะห้อมล้อมไปด้วยเครื่องดนตรีสากล คีย์บอร์ด กีต้าร์ กลองชุด เบสและเพอร์คัชชั่น เเนวเพลงหลักก็จะเป็นเพลงบรรเลงระนาดเอกเเนวลาติน ซึ่งเพลงเก่งก็คือจีนตอกไม้นั่นเองเเหละครับเเล้วก็ยังใช้เล่นมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยครับ
      ขุนอินออฟเดอะบีท ของผมสมาชิก 6 คนได้เดินทางไปแสดงทั้งในประเทศเเละต่างประเทศมากมายหลายร้อยงานรวมเวลา 4 ปีกว่าเเล้วจึงได้ทำอัลบั้มออกมาในปี พศ.2551เเละเปลี่ยนชื่อเป็น ขุนอิน ออฟบีทสยาม ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้มีอัลบั้มบางกอกอคูสติคและขุนอินระนาดบางกอก ออกมาก่อนหน้านี้เเล้วและหลังจากนั้นผมจึงได้รวบรวมพลพรรคนักดนตรีขึ้นมาใหม่เปลี่ยนเเนวมาเล่นเป็นแบบฟิวชั่นเเจ๊สเเละได้ออกอัลบั้มมาใหม่ในปี พศ.2556 ที่มีชื่อว่า ขุนอิน แจ๊สออฟสยาม โดยระหว่างนั้นถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่ได้ออกผลงานเพลงมาเป็นอย่างทางการก็ได้เเต่ไป feat.กับศิลปินอื่นๆประกอบกับโลกในโซเชี่ยลมันได้พัดพาแผ่นซีดีลอยน้ำไปศิลปินทุกๆคนก็เริ่มมุ่งหน้าไปทางยูทูปผมเองก็ต้องตามกระเเสเขาไปในยูทูปเหมือนกับคนอื่นเเต่มันก็ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังเหมือนกับการทำอัลบั้มของผมที่ผ่านมาเเต่อย่างใด และวันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงวันนี้เเล้วตัวผมเองนั้นไม่ใช่ว่าจะหยุดนิ่งในการทำอัลบั้มเพลงเเต่อย่างใดเเละผมก็ได้รวบรวมพลพรรคนักดนตรีขึ้นมาใหม่อีกเเละเปลี่ยนเเนวดนตรีออกไปจากเดิมอีกเเต่จะเป็นอะไรเเบบใดฉบับหน้าค่อยมาว่ากันใหม่นะครับ รับรองว่าไฉไลเอี่ยมอ่อง ชื่อคอลัมน์มันก็ฟ้องอยู่เเล้วครับ
    ปล.ขออภัยที่ฉบับนี้ล่าช้าไป 5 วัน เนื่องจากผมมีเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจเเละพึ่งจะรวบรวมสติปัญญาเเละพลังใจลุกขึ้นมาทำงานต่างๆได้ครับ
                                                                                 ขุนอิน

วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงต้องเล่นดนตรีเเนวนี้ ทั้งๆที่ผมเป็นนักดนตรีแนวอนุรักษ์ตัวพ่อตัวเเม่

นวัตกรรมทางดนตรี

     ในโลกนี้มีเครื่องดนตรีมากมายหลายร้อยหลายพันชนิดที่เกิดขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นดนตรีไทย ดนตรีจีน ดนตรีเเขก หรือดนตรีฝรั่งมังค่าที่จะเรียกกันว่าดนตรีสากล เเต่ทุกสิ่งอย่างที่ผมกล่าวมานั้นมนุษย์เรานั่นเเหละเป็นผู้สร้างดนตรีทุกชนิดขึ้นมา เพียงเเต่ดนตรีทุกชนิดนั้นจะเกิดขึ้นมานานเกินกว่าที่พวกเราจะทราบกันว่าใครเป็นผู้ค้นคิดหรือประดิษฐ์เครื่องดนตรีในเเต่ละชนิดนั้นขึ้นมานั่นเองเเหละครับ
     ส่วนในเรื่องของดนตรีไทยเรานั้นตามตำราประวัติเครื่องดนตรีบอกว่ามีมาตั้งเเต่สมัยสุโขทัย เเต่ในบางชนิดอย่างระนาดเอกนั้นก็พึ่งจะมีมาในสมัยอยุธยา แต่ก็มีนักโบราณคดีบางท่านได้ค้นพบหลักฐานว่าระนาดเอกนั้นเกิดขึ้นมาตั้งเเต่สมัยสุโขทัยเหมือนกัน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อให้โต้เเย้งกันไปนั่นเเหละครับ เเต่จะว่ากันจริงๆเเล้วนั้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันก็เป็นเพียงข้อสันนิฐาน ตำราไหนจะถูกหรือผิดมันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินให้ชี้ชัดกันไป เพราะจริงๆเเล้วนั้นก็ไม่มีใครในยุคนี้เกิดทันสมัยสุโขทัยหรืออยุธยาหรอกครับ เเละที่สำคัญคือหลักฐานทุกอย่างนั้นมนุษย์เราก็เป็นผู้สร้างขึ้นมาอยู่เเล้วนี่ครับ สรุปว่าเครื่องดนตรีไทยเราทุกชนิดนั้นเกิดขึ้นมาหลายร้อยปีเเล้วครับจะยุคไหนสมัยไหนก็คงไม่เป็นอะไร เเละตัวผมเองนั้นก็ยังไม่เคยเห็นเครื่องดนตรีไทยชนิดใหม่ๆ เกิดขึ้นมาในยุคของผมแม้เเต่ชนิดเดียวหรือจะมีอย่างมากก็เเค่เอามาดัดเเปลงกันมาใหม่ในเรื่องของระดับเสียงเท่านั้นเอง
     ส่วนการเล่นดนตรีไทยของเราในยุคนี้ เราๆท่านๆนั้นคงจะทราบกันดีว่าจะมีอยู่ 2 แบบอย่างให้เราได้เห็นเเละได้เล่นกันก็คือการเล่นเเบบเดิมๆที่จะเรียกกันว่าเเนวอนุรักษ์ เช่นวงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย ส่วนอีกเเบบหนึ่งก็คือเเนวร่วมสมัยหรือเเนวคอนเท็มโพรารีเเต่ถ้าจะเรียกให้เก่าลงไปหน่อยก็คือเเนวประยุกต์หรือดนตรีไทยผสมดนตรีสากลนั่นเองเเหละครับ ส่วนนักดนตรีไทยเรานั้นใครใคร่จะเล่นกันเเบบไหนก็มีสิทธิ์ที่จะกระทำกันได้ทุกๆคน อย่างไม่ต้องกลัวเกรงว่าดนตรีเเนวร่วมสมัยนี้จะทำให้การเล่นดนตรีไทยเเบบเดิมๆต้องสูญหายหรือเสียหายไป เหมือนอย่างเมื่อสมัยเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมานั้น มักจะมีเสียงต่อต้านดนตรีเเนวร่วมสมัยนี้จากครูดนตรีไทยผู้ใหญ่ในยุคก่อน เพราะว่าในปัจจุบันนี้ดนตรีร่วมสมัยนั้นเล่นกันตั้งเเต่วงเด็กนักเรียนชั้นประถม มัธยม อุดมศึกษาจนไปถึงวงดนตรีของหน่วยงานภาครัฐเเละเอกชน กองดุริยางค์ของเหล่าทัพทุกเหล่าต่างก็มีวงดนตรีร่วมสมัยกันหมดทุกสถาบันครับ
     ถ้าถามว่าดนตรีร่วมสมัยมีมานานหรือยัง ถ้าเป็นเมืองไทยบ้านเราวงเเรกที่ปรากฏต่อสาธารณชน ผมคิดว่าก็น่าจะเป็นวงกรมประชาสัมพันธ์ของครูเอื้อ สุนทรสนาน ซึ่งก็จะมีมาตั้งเเต่ก่อนยุค พศ.2500 แต่ก็จะมาเป็นรูปแบบในลักษณะของบทเพลงขับร้องสากลในบางเพลงที่นำทำนองเพลงไทยเดิมไปแต่งใหม่เท่านั้นเอง ก็คือไม่ได้เล่นรวมกับดนตรีไทยในทุกๆบทเพลง เเต่ถ้าจะให้นับวงดนตรีร่วมสมัยเเบบมาตรฐานก็ต้องเป็นวงฟองน้ำที่รวมตัวกันมาเมื่อปี พศ.2522 หลังจากนั้น 10 ปีก็จะตามมาเป็นวงกังสดาล ตามด้วยวงโนเวลเเจ๊ส ในปีเดียวกัน เเละบอยไทยในปี พศ.2536 ซึ่งวงดนรีร่วมสมัยเหล่านี้จัดเป็นกลุ่มวงดนตรีร่วมสมัยในยุคเเรกๆของเมืองไทย เเต่ไม่ใช่ว่าประเทศไทยเรานั้นเป็นประเทศเเรกที่เล่นดนตรีร่วมสมัยนะครับ
     ประวัติดนตรีร่วมสมัยนั้นเคยมีบันทึกของนักดนตรีสากลคลาสสิคท่านหนึ่งว่า ในการเกิดขึ้นครั้งเเรกของวงดนตรีร่วมสมัยก็คือวงออเคสตร้าทางฝั่งยุโรปนั้น มาเเสดงร่วมกับกลองแอฟริกา ก็คงจะเป็นพวกกลองเจมเบ้นั่นเเหละครับ เเต่ก็ไม่ได้ระบุว่าการเเสดงนั้นเป็นสถานที่เเห่งใด ส่วนตามประวัตินั้นจะเป็นจริงเเค่ไหนก็คงต้องพิสูจน์กันต่อไปเเหละครับ เเต่ที่เเน่ๆทางฝั่งประเทศจีนนั้นมีวงดนตรีร่วมสมัยเกิดขึ้นก่อนบ้านเราอย่างเเน่นอนเช่นดนตรีประกอบการเเสดงกายกรรมหรือวงออเคสตร้าจำพวกเครื่องสายจีนก็เกิดขึ้นมานานก่อนบ้านเรา แต่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอีกก็คือเพลงปลุกใจของประเทศจีนที่ได้นำเครื่องดนตรีโบราณจำพวกเครื่องสายมาเล่นรวมกับเพลงปลุกใจตั้งเเต่ประเทศเขายังปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งตรงนี้วงดนตรีของบ้านเรานั้นก็ได้รับอิทธิพลทางดนตรีเเนวนี้จากประเทศจีนเเต่ก็กลายเป็นดนตรีเเนวเพื่อชีวิตในบ้านเรา ไม่ใช่วงดนตรีร่วมสมัยเเต่อย่างใดครับ
     ส่วนตัวของผมนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีว่าผมนั้นเลือกที่จะเล่นดนตรีไทยทั้งสองเเบบสองเเนว เหตุผล   ก็คือเเบบเเรกในดนตรีเเนวไทยเดิมหรือเเนวอนุรักษ์นั้น ผมเล่นมาตั้งเเต่เเรกเกิดเเล้วล่ะครับก็คือตระกูลโตสง่าของผม ครูอุทัย โตสง่า ปู่ทวดของผมเป็นนักดนตรีไทยที่อพยพลงมาจาก บางปะอิน จ.อยุธยา แล้วมาตั้งรกรากที่หลังวัดบวรนิเวศ ย่านบางลำพู กรุงเทพฯ ตั้งเเต่สมัยรัชกาลที่ 4 โน่นเลยครับ ส่วนทางคุณเเม่ผมสายสกุลดุริยพันธุ์นั้นก็เป็นตระกูลนักดนตรีที่มีขื่อเสียงในยุครัชกาลที่6 ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมต้องเป็นนักดนตรีแนวอนุรักษ์เเบบดั้งเดิมเเละยังเป็นผู้สืบสานตระกูลปี่พาทย์โตสง่า ให้ยังคงเป็นสำนักปี่พาทย์ที่มีการเรียนรู้เเบบโบราณที่จะต้องมากินนอนและฝึกซ้อมอยู่ในบ้านเดียวกันให้เหมือนกับในยุคสมัยของครูพุ่ม โตสง่าคุณปู่ของผม ซึ่งจะตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 นั่นเองเเหละครับ ดังนั้นเเล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องเล่นดนตรีไทยเดิมเเนวอนุรักษ์ และยังไม่เพียงเเค่นั้นการดำเนินชีวิตของผมในทุกๆวันก็ยังคงเป็นในรูปแบบการอนุรักษ์วิถีนักดนตรีไทยโบราณ เช่นผมจะต้องจุดธูปไหว้พระ ไหว้ครูบาอาจารย์ในตอนเช้าของทุกๆวัน เเละยังต้องถวายหมูนอนตอง หรือไก่ต้ม บายศรี มาลัยดอกไม้ ผลไม้ รวมถึงขนมนมเนย น้ำชากาเเฟ เป็นประจำในทุกๆวันพฤหัสบดีเเละวันอาทิตย์ เเละสำคัญสุดคือทุกมื้ออาหารของผมก่อนที่ผมจะรับประทานต้องยกมือไหว้อธิฐานจิตให้บรมครูที่ปกปักรักษาเรานั้นมารับภัตราหารก่อนที่พวกเราจะลงมือรับประทานอาหารของมื้อนั้นๆ ซึ่งผมเองก็จะสั่งสอนให้ลูกศิษย์ในสำนักของผมนั้นใหักระทำตามเเบบนี้เหมือนกับที่ตัวผมเองนั้นได้ทำตามเเบบอย่างของครูสุพจน์ โตสง่าบิดาของผมเองนั่นเเหละครับ
     ส่วนในเเบบที่ 2 ก็คือเเนวร่วมสมัย แต่ถ้าถามว่าทำไมผมถึงต้องเล่นดนตรีเเนวนี้ ทั้งๆที่ผมเป็นนักดนตรีแนวอนุรักษ์ตัวพ่อตัวเเม่ ก็คงต้องเอาไว้อ่านในฉบับหน้ากันดีกว่าครับเพราะฉบับนี้ผมเขียนมายาวมากเเล้วกลัวท่านๆนั้นเบื่อที่จะอ่านกันเสียก่อนครับ เเละฉบับหน้าก็จะทราบกันอีกด้วยว่าอะไรนั้นคือ นวัตกรรมทางดนตรี เเล้วมันจะไปเกี่ยวข้องอะไรกับดนตรีร่วมสมัยหรือไม่ เอาไว้พบกันฉบับหน้าในวันที่ 16 ธันวาคม 2560 นะครับ และสำหรับฉบับนี้ก็ต้องขออภัยในความล่าช้าไป 2 วัน เนื่องจากขัดข้องทางเทคนิคในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ...สวัสดีครับ


                                                                                                             ขุนอิน

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ศิลปินฝั่งธน

     ย้อนไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 ดนตรีไทยในยุคนั้นถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด นักดนตรีในสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็จะประจำอยู่ตามวังต่างๆเเละก็มีหลายต่อหลายท่านก็จะได้รับพระราชทานบรรดาศ้กดิ์หรือพระราชทินนามช่น หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) พระยาเสนาะดุริยางค์(แช่ม สุนทรวาทิน) จางวางทั่ว พาทยโกศลเเละยังมีท่านอื่นๆอีกมามายที่ได้รับที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ต่างกันไป
     ครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะจัดว่าเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถมากที่สุดในยุคนั้นก็ว่าได้ เพราะเป็นนักดนตรีไทยที่มีฝีมือเเละการเเต่งเพลงชนิดที่เรียกว่าเป็นมือวางอันดับ 1 และในวงการดนตรีไทยก็จะทราบกันดีว่าท่านจะมีคู่เเข่งคู่ประชันที่ขับเคี่ยวกันมาโดยตลอดก็คือพระยาเสนาะดุริยางค์ ถ้าใครได้ชมภาพยนต์เรื่องโหมโรงผมกำลังจะบอกว่าขุนอินนั่นเเหละครับก็คือพระยาเสนาะดุริยางค์ คู่ปรับในชีวิตดนตรีแห่งความเป็นจริงของท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
     ส่วนการเเต่งเพลงหรือประพันธ์เพลงนั้น ครูหลวงประดิษฐ์ฯท่านต้องมาขับเคี่ยวการเเต่งเพลงกับครูจางวางทั่ว จนเกิดสงครามทางเพลงในยุคก่อนที่เรียกกันว่าทาง ฝั่งพระนครกับทางฝั่งธนฯ ก็คือสำนักของครูหลวงประดิษฐ์จะอยู่เเถวบ้านบาตร เเขวงสำราษฏร์ในปัจจุบันนี้ จังหวัดกรุงเทพฯหรือจังหวัดพระนครในยุคก่อน ส่วนครูจางวางทั่ว นั้นจะอยู่ย่านวัดกัลยาณมิตร ก็คือข้ามสะพานพุธเลี้ยวขวาไปหน่อยเดียว เเต่ตอนในยุคนั้นยังคงเป็นจังหวัดธนบุรี ก็คือยังไม่รวมเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี ก่อนที่จะมาเป็นกรุงเทพมหานคร ในปัจจุบันนี้นั่นเเหละครับ
     ทางเพลงของครูหลวงประดิษฐ์ฯนั้นอาจจะได้รับความนิยมมากกว่าทางของครูจางวางทั่ว เนื่องจากมีคนนิยมไปใช้เล่นใช้บรรเลงกันมากกว่า ส่วนทางของท่านครูจางวางทั่วนั้นอาจจะมีคนนิยมเล่นน้อยกว่าเเต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความไพเราะนั้นสู้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะครูหลวงประดิษฐ์ฯ ท่านนั้นมีลูกศิษย์ลูกหามากกว่าก็เลยนำเพลงของท่านไปเผยเเพร่กันมากกว่าทางจางวางทั่ว นั่นเองเเหละครับ
     ผมเขียนจากความรู้สึกของผม ทั้งๆที่คุณพ่อผมเองนั้นก็เป็นสายทางฝั่งพระนครเเละเป็นศิษย์ของครูหลวงประดิษฐ์ฯอีกด้วยครับ ผมเองในวัยเด็กจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเล่นเพลงทางฝั่งพระนครเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมเองนั้นก็ได้เคยต่อเพลงในบางเพลงของทางจาวางทั่ว ซึ่งก็คือเพลงพม่า 5 ท่อน เเละตัวผมเองก็ได้ต่อเพลงนี้ทางของครูหลวงประดิษฐ์ฯ รวมถึงทางของครูพุ่ม โตสง่า คุณปู่ผมของเองอีกด้วยครับ รวมแล้วก็เป็น 3 ทาง กับเพลงพม่า 5 ท่อนเพลงนี้ เเละผมนั้นสามารถรับรู้ได้เลยว่า ทางของครูจางวางทั่วนั้นลึกซึ้งละเอียดอ่อน ทำนองเพลงนั้นตียากมากที่สุด
     ย้อนมาปัจจุบันนี้หลังจากที่ผมเริ่มที่จะอยู่ในวัยฉกรรณ์ตลอดระยะเวลาความเป็นวัยรุ่นผมเองก็จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของการประชันวงปี่พาทย์เรียกว่าชอบเป็นชีวิตจิตใจก็ว่าได้เพราะเนื่องากผมได้ติดตามคุณพ่อของผมครูสุพจน์ โตสง่า ไปประชันปี่พาทย์ตามงานต่างๆ ตั้งเเต่ผมยังอยู่ในวัยเยาว์ 2 ขวบ จึงไม่เเปลกหรอกครับที่ลูกชายของนักรบนั้นจะบ้าสงครามในยามเมื่อเขาเติบโตขึ้นมา
      พอเมื่อผมอายุ 18 คุณพ่อผมได้อพยพสำนักปี่พาทย์จากย่านอนุเสาวรย์ชัยสมรภูมิ มาอยู่ยังย่านเพชรเกษม หนองเเขม ใกล้ๆกับวัดราษฎร์บำรุง ง่ายว่าก็คือฝั่งธนบุรีนั่นเองเเหละครับ ในตอนเเรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรก็ยังคงที่ชอบขึ้นเวทีประชันต่างๆอยู่เหมือนเดิม แต่พอมาเริ่มรู้จักวงปี่พาทย์ต่างๆที่อยู่ในย่านฝั่งธนบุรีผมก็เริ่มที่จะรับรู้เเล้วว่านักดนตรีปี่พาทย์หริอศิลปินที่อยู่เเถวย่านฝั่งธนบุรีเขาไม่ค่อยนิยมการประชันปี่พาทย์เหมือนกับนักดนตรีปี่พาทย์ที่อยู่ทางฝั่งกรุงเทพฯ ก็คือศิลปินย่านฝั่งธนบุรีเขามักจะที่จะเล่นดนตรีปี่พาทย์เอาไว้เพื่อประกอบสัมมาชีพหรือเล่นเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองเสียมากกว่าเเละส่วนใหญ่ทั้งโต้โผหรือลูกวงนั้นก็จะรู้จักคุ้นเคยกันทุกๆวง รวมถึงตัวผมเเละลูกวงของผมในยุคปัจจุบันนี้ด้วยครับ พวกเราไม่เคยที่จะประชันกันเองหรืออาจจะมีบ้างเเต่ก็นานมามากเเล้วก็คือช่วงนั้นวงผมก็ยังติดนิสัยเดิมๆที่นิยมการประชันปี่พาทย์ซึ่งมันอยู่ในสายเลือดของผมเองนั่นเเหละครับ
     ย้อนไปเมื่อปี พศ.2546 ในข่วงนั้นผมเริ่มที่จะเเต่งเพลงไทยสากลเเละผมได้เขียนเพลงสไตล์ลูกทุ่งเอาไว้ 1 เพลง ที่สำคัญคือผมไม่ได้คิดว่าจะเเต่งเอาไปเพื่อทำการใดๆ เพียงเเต่ตอนนั้นสมองของผมมันไหลรื่นรวดเร็วในเรื่องการเเต่งเพลงไทยสากลอาจเป็นเพราะผมเริ่มอิ่มตัวจากการเเต่งเพลงไทยเดิมก็เป็นไปได้ ประกอบกับในช่วงนั้นเริ่มที่รู้เเล้วว่าศิลปินปี่พาทย์แถวๆย่านฝั่งธนบุรีนั้นส่วนใหญ่เขาจะเล่นดนตรีปี่พาทย์เพื่อประกอบอาขีพมากกว่าการประชันขันเเข่ง เเละที่สำคัญไปกว่าสิ่งใดๆนั้นก็คือผมได้คิดถึงครูจางวางทั่ว ว่าตัวท่านนั้นได้เเต่งเพลงไทยเดิมเอาไว้เเบบล้ำลึกวิจิตรพิศดาร เเต่ทำไมท่านถึงไม่เคยประมือประชันวงกับครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ หรือว่าท่านไม่มีฝีมือในการบรรเลงเครื่องดนตรี หรือว่าท่านเคยประชันกันเเล้วเเต่เราเองอาจจะไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เป็นไปได้ แต่พอคิดไปคิดมาเเล้วก็เลยสรุปด้วยตัวเองซะเลยว่า ครูจางวางทั่วท่านคงจะมีนิสัยเหมือนกับนักดนตรีฝั่งธนในยุคปัจจุบันนี้นั่นเเหละ ก็คือท่านคงอาจจะชอบเล่นดนตรีปี่พาทย์หรือเเต่งเพลงด้วยความสุนทรียภาพมากกว่าที่จะนำเอาเพลงของท่านที่เเต่งไว้มาประชันเเข่งขันกัน
     ประกอบกับนักดนตรีไทยทางย่านฝั่งธนบรีนั้นก็มีความสนิทสนมกลมเกลียวเหมือนพี่เหมือนน้องกันเกือบๆจะทุกวง ดังนั้นสมองของผมจึงได้ประมวลผลและกลั่นกรองออกมาเป็นบทเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งชนิดที่เรียกว่าเเต่งคืนเดียวจบ เพราะด้วยเเรงบันดาลใจมันสูงมากครับ
     วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในปีต่อมาผมนั้นได้โด่งดังจากภาพยนต์เรื่องโหมโรง เรื่องราวเเละงานต่างๆมันเข้ามาหาผมอย่างมากมายจนมันทำให้ผมลืมไปเลยว่าผมเคยเเต่งเพลงลูกทุ่งเอาไว้เพลงหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า "ศิลปินฝั่งธน" และสิ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้ก็คือผมได้เขียนในคอลัมน์ลงในบล๊อคเกอร์เรื่อง Volume ดนตรีไทย ที่มีเรื่องราวของศิลปินเเดนไกลเข้ามาแย่งรับงานปี่พาทย์ตัดราคาให้ถูกลงตามวัดเเถวย่านฝั่งธนฯบ้านผมนี่เอง เเล้วพอเขียนเรื่องนี้จบมันจึงทำให้ผมได้คิดถึงเพลงนี้ขึ้นมาในทันทีทันใด เเละพอเมื่อผมไปค้นเนื้อร้องเพลงที่เก็บเอาไว้ในตู้เก็บเอกสารเจอ ผมก็ยกหูต่อสายโทรศัพท์คุยกับน้องโอ๊ค ดราก้อนไฟว์ ว่าให้ช่วยโปรเเกรมเพลงเเละช่วยเรียบเรียงเพลงนี้ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ได้ติดต่อน้องนัทนักร้องเพื่อนของผมในเฟสบุ๊ค ให้มาช่วยร้องเพลงนี้เเละสุดท้ายทุกสิ่งอย่างก็สำเร็จเสร็จสิ้น ซึ่งเพลงก็พร้อมเเล้วที่จะเสิร์ฟเข้าหูของทุกๆท่าน ทางเวปไซด์ เฟสบุ๊ค ยูทูป ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตัวผมเองครับ
     ในบทเพลงนี้ ทำนองนั้นไพเราะเเละสนุกเเบบเนิบๆพอที่จะโยกหัวกันไปมาตามทำนองเพลงได้ เเต่ก็คงไม่ต้องถึงกับไปตามพวกสายย่อให้มาร่วมวงเต้นกันหรอกครับ ส่วนเนื้อหาเพลงนั้น สรุปโดยรวมได้เลยว่า ผมอยากให้เห็นธาตุเเท้เเละอารมณ์ของศิลปินย่านฝั่งธนที่มีเสียงดนตรีขัดเกลาให้เป็นคนดีกันได้ทุกคนนั่นเองเเหละครับ เอาเป็นว่าวันเสาร์นี้ทุกท่านนั้นรอสดับรับฟังบทเพลงศิลปินฝั่งธนของผมกันได้เลยครับ ในบทเพลงนี้ถ้ามีความดีในส่วนใดๆ ผมขออุทิศให้กับครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ที่ท่านเป็นหนึ่งในเเรงบันดาลใจที่ทำให้ผมได้เเต่งเพลงนี้ขึ้นมา ถึงเเม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดทางเพลงดนตรีปี่พาทย์ของท่านโดยตรง เเต่อย่างน้อยผมก็ได้ยึดหลักการดำเนินชีวิตนักดนตรีไทยของครูจางวางทั่ว ที่ท่านนั้นรักสงบเเละมักประสพเเต่สิ่งสร้างสรรค์รูปรสที่สวยงามของดนตรี ซึ่งจะนำพาให้ชีวิตจิตใจของทุกๆคนนั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ให้สมกับคำว่าสุขภาพจิตที่ดีไม่มีขายตามท้องตลาด เเต่เหล่านักดนตรีไทยเรานั้นสามารถที่จะสร้างสุขภาพจิตสุขภาพใจให้ตัวเราเองได้ด้วยเสียงดนตรีของเรา เหมือนดั่งกับบทเพลงศิลปินฝั่งธน ของผมนั่นเองเเหละครับ
                                                                                                               
                                                                                                                     ขุนอิน

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

    Volumeใคร   Volumeมัน

วงปี่พาทย์มอญเด็กนักเรียน สำหรับผมแล้วนั้น มันคือหนามยอกเอาหนามบ่ง


     ต่อเนื่องจากเมื่อฉบับที่เเล้วหลังจากที่ผมได้เขียนเรื่องการรับงานปี่พาทย์เเล้วตัดราคากันไปมาเเถวๆย่านฝั่งธนบ้านผม ตั้งเเต่เมื่อ 20 กว่าปีที่เเล้วจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ให้เห็นกันเหมือนเดิมเเละบ่อยครั้งก็จะมีมาประณามกันให้เห็นอยู่ในโลกโซเชี่ยล ซึ่งตรงนี้การเเก้ปัญหาผมบอกตรงๆว่ามันยากมากเพราะจะว่ากันจริงๆเเล้วสังคมไทยคนส่วนใหญ่ก็จะมีเเต่การเเก่งเเย่งชิงดี ตัวใครตัวมันต่างก็ต้องดิ้นรนหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองกันอยู่นานเเล้ว จะมีก็ส่วนน้อยจริงๆที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่นๆหรือสังคมเป็นหลัก        
     เรื่องการรับงานตัดราคาจะว่าไปแล้วมันคงเป็นเรื่องไม่มีใครผิดหรือถูกเพร่ะคำว่า Volume ในใจเเต่ละคนย่อมตั้งมาไม่เท่าเทียมกันอยู่เเล้วครับ มันคงมีเพียงเเค่ความเหมาะสมกับเเต่ละบุคคลหรือเเต่ละวงมากกว่า บางวงมีนักดนตรีระดับปานกลางก็อาจจะจ่ายค่าตัวคนละ 400 บาท 10 คนก็ 4000 บาทตัวโต้โผบวกค่ารถค่าเครื่องอีก 2000 บาทรวมเป็น 6000 บาทต่อ 1 เวลา ซึ่งราคานี้ผมว่าคงเป็นราคาที่รับกันทั่วไปในปัจจุบันนี้สำหรับวงปี่พาทย์มอญเครื่องคู่ ในเเถวย่านฝั่งธนฯ บ้านผมเองนะครับ แต่ถ้าในบางวงโต้โผอาจจะจ่ายค่าตัวคนละ 500บาทหรือ 600 บาทต่อ 1 เวลา ราคาของวงนั้นก็ต้องกระเถิบขึ้นไป 8000 บาทเป็นอย่างน้อย แต่บางวงก็อาจจะใช้เด็กๆหัดใหม่ค่าตัวเด็กๆก็คงไม่เกิน 200 บาทต่อคน วงนั้นก็อาจจะรับในราคา 4000 บาทหรือต่ำกว่านิดหน่อยก็เป็นไปได้ แต่เมื่อไปรับราคาแบบนี้ในวัดต่างถิ่นมันก็จะกลายเป็นตัดราคาวงปี่พาทย์ที่เขาทำประจำอยู่ในวัดนั้นๆ ซึ่งสรุปได้ว่า Volume ของเเต่ละวงมันไม่เท่ากันนั่นเเหละครับ 
     ที่ผมเขียนมาเเบบนี้ใช่ว่าผมจะสนับสนุนหรือเข้าข้างวงที่รับราคาถูกกว่าหรือต่ำกว่านะครับ แต่เป็นเพราะผมเริ่มที่จะเข้าใจวงปี่พาทย์ที่มีระดับฝีมือที่อ่อนกว่าหรือเด็กกว่า ลองคิดในมุมกลับกันว่า ถ้าเราเอาเด็กๆหัดใหม่มาออกงานเเล้วรับราคาเท่าผู้ใหญ่ที่มีฝีมือเหนือกว่าก็คงจะไม่มีใครหางานวงเราเเน่ๆใช่ไหมครับ ในอดีตวงผมเองก็เคยโดนปี่พาทย์ต่างจังหวัดเข้ามารับราคาวัดราษฏร์บำรุงราวกับว่าของในสต๊อคกำลังจะบูดประมาณไส้กรอกไก่รมควันถุง 1 กิโลกรัม ราคา 120 บาท ลดเหลือ 79 บาท ประมาณนั้นเลยครับ เเต่มันเเย่ไปกว่านั้นคือเวลาวัดมีงานเทศมหาชาติหรือทำบุญกระดูกรวมญาติช่วงสงกรานต์วงผมก็ต้องไปตีให้ฟรีๆจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังต้องให้เด็กๆไปทำอยู่ มันจึงเป็นเเรงบวกกระตุกต่อมโมโหของผมไปยิ่งนัก นึกอยากจะกระซวกไส้คุณโต้โผวงเหล่านั้นเอาออกมาทำหนังเรียดกลองให้รู้เเล้วรู้รอดไปเลยครับ เเละผมก็ทราบดีว่าวงที่เข้ามาเเย่งงานที่วัดประจำของผมฆ้องมอญ 5 วงหรือ5 โค้งมีตีเป็นอยู่เเค่ 2 วงที่ เหลือก็ลิปซิงค์กันไปเกือบทั้งหมด เอาเเค่ตั้งเครื่องให้มันเยอะๆเข้าไว้ ประดับไฟให้พรึบพรับสวยงาม แถมมีป้ายโฆษณาสปอนเซอร์ประจำให้ดูดีมีมาตราฐานเท่านั้นเองครับ มันจึงทำให้ผมเลิกรับงานประจำที่วัดราษฎร์บำรุงเเห่งนี้ คือถ้ามีเข้ามาผมก็จะโยนให้วงลูกศิษย์ผมทำไปครับ ส่วนผมก็จะเจาะจงรับเเต่งานนอกวัดสนนราคาไม่อยากพูดถึงเขียนถึงเเค่หลักหมื่นกลางต่อ 1 เวลาครับผม
     เห็นได้ว่าผมเองก็ไม่ได้สนับสนุนพวกที่รับงานถูกกว่าเเต่ผมพยายามมองโลกดนตรีไทยให้สวยงามเข้าไว้ มันดีกว่าที่จะมองเขาในเเง่ไม่ดีครับ  ส่วนทางเเก้ที่ผมเห็นมันมีให้ผมเลือกอยู่ 2แบบ ก็คืออย่างเเรกเราไปผูกราคากับเจ้าหน้าที่วัดหรือ ส.ป.ร. นั่นเเหละครับ ให้เขามีส่วนได้กับเราในราคาที่บวกขึ้นไป เท่าไหร่ก็เรื่องของเขาเพียงเเต่เลิกงานเคลียร์เงินมาให้เราตามราคาที่เราตั้งไว้เท่านั้นเอง ง่ายๆว่าให้สัปเหร่อรับงานให้นั่นเเหละครับ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามีหลายๆวงที่ทำอยู่เเล้วเเหละครับ  
     ส่วนอย่างที่2 ที่ผมเลือกที่จะทำมากกว่าก็คือสนับสนุนวงเด็กนักเรียนตามโรงเรียนลูกศิษย์ของผมเอง ซึ่งวิธีนี้มันคือวิธีการที่เรียกว่าหนามยอกเอาหนามบ่งครับ ขออนุญาตเขียนหยาบๆเลยว่า มึงมาถูกเท่าไหร่กูสามารถมาถูกได้เท่าๆมึง เพราะเด็กนักเรียนได้ค่าตัวคนละ 200 บาทก็ดีใจยันผู้ปกครองเเล้วละครับ ยิ่งเด็กๆผู้หญิงระดับประถมเเต่งชุดนักเรียนตีด้วยมันก็ดูดีขึ้นไปอีกครับ เเละคราวนี้ก็จะถึงกาลอวสานวงปี่พาทย์เเดนไกลที่ชอบมารับราคาตัดหน้าเเบบถูกๆอย่างเเน่นอนครับ เเถมยังเป็นการส่งเสริมเด็กนักเรียนให้ได้มีส่วนร่วมสืบสานดนตรีไทยเเละส่งเสริมให้เด็กได้มีอาชีพเสริมด้วยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และท้ายที่สุดเขาก็จะเห็นคุณค่าของดนตรีไทยยามเมื่อพวกเขาเติบโตต่อไปในภายภาคหน้า เเละที่สำคัญเขาก็จะรู้ว่าอาชีพดนตรีไทยนั้นก็สามารถเป็นอาชีพที่ทำมาหาเลี้ยงปากท้องตัวเองได้ด้วยครับ


                                                                                                             ขุนอิน

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560


โลกใบนี้ดนตรีไทย
Volumeดนตรีไทย



     ย้อนไปในสมัยที่ผมอยู่ในวัยเด็กอายุประมาณ 10 ขวบในยุคนั้นวงปี่พาทย์กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างเเพร่หลายโดยเฉพาะในงานศพ วงปี่พาทย์มอญทั้งในกรุงเทพเเละต่างจังหวัดจะมีงานให้ได้ไปแสดงกันเเบบเนืองเเน่นเเทบจะวันเว้นวันก็ว่าได้ ทุกวัดถ้ามีศพเข้ามาเป็นอันต้องมีวงปี่พาทย์มอญมาประโคมศพกันทุกวัด เหมือนเป็นเครื่องปลอบประโลมคลายเศร้าให้กับเจ้าภาพและก็กลายเป็นที่นิยมต่อชาวบ้านในยุคนั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งสาเหตุก็คือกระเเสวัฒนธรรมต่างชาติรวมถึงกระเเสโลกโซเชี่ยลยังไม่ได้เข้ามามีบทบาทที่รุนเเรงต่อสังคมไทยเราเหมือนในยุคนี้ครับ ผลก็คือนักดนตรีไทยในยุคนั้นหรือก่อนหน้าผมด้วยซ้ำไปต่างก็จะมีงานเเสดงกันอย่างถ้วนหน้าไม่ต้องปากกัดตีนถึบกันเหมือนทุกวันนี้ครับ
     ในยุคนั้นวงปี่พาทย์ในกรุงเทพ ต่างก็จะมีวัดประจำเป็นของวงตัวเอง อย่างเช่นวงของคุณพ่อผมก็จะ ประจำอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุง ย่านหนองเเขม เเต่ก่อนหน้านี้วงครูพุ่ม โตสง่าคุณปู่ของผมได้ประจำอยู่ที่
วัดทองนพคุณ อยู่เเถวๆคลองสาน จนกระทั่งคุณปู่ของผมเสียขีวิตตั้งเเต่ผมยังไม่เกิดเเละคุณลุงของผมท่านก็ดำเนินกิจการต่อ จนกระทั่งผมเองก็ได้กลายมาเป็นลูกวงของท่านในช่วงวัยเด็ก จนกระทั่งปีพศ.2521ก็ได้เลิกกิจการ ซึ่งสาเหตุก็คือมักกะทายกหรือประมาณผู้จัดการผลประโยชน์ของวัดได้
เสียชีวิตเเละคนที่มาใหม่ก็ได้เอาวงปี่พาทย์มอญจากที่อื่นมาประจำเเทนนั่นเองครับ
     ส่วนที่วัดราษฎร์บำรุงซึ่งเป็นวัดที่คุณพ่อผมประจำอยู่นั้นได้เริ่มเข้ามาทำตั้งเแเต่ปีพศ.2515 ตามคำชักชวนของท่านพระครูปลัดวิชินหรืออาจารย์หรั่ง ซึ่งท่านเป็นคนท้องที่เเละท่านบวชมาตั้งเเต่เป็นเณรจนกระทั่งกลายเป็นเจ้าอาวาสในยุคนี้ ท่านจึงมีพาวเวอร์ในวัดนี้มากโดยท่านจะคอยดูเเลเเละรับงานให้
วงปี่พาทย์ของผมมาตั้งเเต่ยุคสมัยคุณพ่อของผมครับ
     ในย่านพื้นที่ฝั่งธนบุรีในยุคนั้นวัดต่างๆก็จะมีวงปี่พาทย์ประจำ โดยเป็นที่รู้กันเเบบไม่ต้องมาบอกกันว่า วัดนี้ของฉันนะ วัดนี้เป็นของวงผมอะไรเเบบนั้น เนื่องจากโต้โผปี่พาทย์ส่วนใหญ่ก็จะรู้จักเเละสนิทสนมกันเป็นส่วนตัวอยู่เเล้ว อย่างเช่นวัดเสวตฉัตร รวมถึงวัดสุวรรณ เเถวย่านเจริญนคร ก็จะเป็นวงของคุณลุงง่อนหรือครูเรืองเดช พุ่มไสว กระเถิบไปแถวจรัลสนิทวัดท่าพระก็จะเป็นของลุงผลส่วนวัดบางเสาธงก็จะเป็นวงครูโม วัดยางก็จะเป็นครูเชื่อม วกมาทางย่านถนนเพชรเกษม วงปี่พาทน์กำนันชมก็จะประจำที่วัดอุดมรังษี ส่วนวัดม่วงก็จะเป็นวงของพี่เเก่ วัดนิมมานนรดีก็จะเป็นดาบชื้น วัดศาลาเเดงก็จะเป็นคณะแตงอ่อนไมตรีจิต ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นจ้าวเเห่งเเตรวง
     ยังมีที่ผมยังไม่คุ้นเคยอีกหลายวงหลายวัด เเต่ทุกวงก็จะมีกฏคล้ายกันคือเราจะไม่รับราคาตัดหน้าหรือรับราคาที่ถูกกว่าปี่พาทย์ประจำวัดในกรณีที่จะต้องไปเยือนถิ่นในวัดเราไม่ได้ประจำอยู่และก็จะไม่มีใครวงไหนทำผิดกฏผิดมารยาทในการรับงานย่านแถวๆบ้านผมด้วยครับ
     ส่วนทางฝั่งกรุงเทพฯ เท่าที่ผมรู้นั้ก็วัดมกุฏกษัตริย์ ก็จะมีคุณยายภาหรือป้าภาประจำอยู่ วัดสังเวชก็จะเป็นบ้านดุริยประณึต วัดเเก้วฟ้าย่านเกียกกายก็คณะของคุณอาสุรีย์ สุขีรักษ์ เเละที่เด็ดสุดก็คือคณะของคุณลุงผาด การคุณี ที่ประจำอยู่ที่วัดมะกอก อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คือในยุคนั้นวงลุงผาดจะมีงานปี่พาทย์ชุกมากที่สุดกว่าทุกวงก็ว่าได้ เพราะเนื่องจากลุงผาดท่านมักจะมาขอเด็กปี่พาทย์บ้านพ่อผม รวมถึง
ตัวผมเองหาไปบรรเลงให้วงเเกในวันที่มะกอกมีปี่พาทย์มอญเเยกกันหลายศาลา เเละยังมีอีกหลายต่อหลายวงที่ผมยังไม่ได้เอ่ยถึงเช่นลุงเอิ้น แห่งวัดหัวลำโพงเเละที่ถือว่าเป็นวงปี่พาทย์ในตำนานก็คือ
วงของคุณลุงปลอดเเห่งวัดช่องนนทรีย์ ซึ่งยุคนั้นจะเป็นที่เรื่องลือเเละครั่นคร้ามสยดสยองไข่เน่า คือ
ถ้าปี่พาทย์ต่างถิ่นวงไหนที่ไม่คุ้นเคยหรือรู้จักกันมาก่อนเเล้วนั้นมักจะได้ของฝากจากปี่พาทย์เจ้าถิ่นก็คือไข่เน่าปาเข้าไปในวงยามที่วงท่านกำลังเพลิดเพลินในขณะที่บรรเลงเพลง ขนาดคุณพ่อผมนั้นคุ้นเคยกับลุงปลอดก็ยังไม่อยากเข้าไปรับงานที่วัดช่องนนทรีย์เพราะลุงปลอดเคยบอกพ่อผมว่าลูกน้องเเกทำจนเคยมือ หลายครั้งไม่เคยสั่งให้มันทำ เเต่มันก็จะทำของมันเองเป็นเรื่องปกติ สรุปว่าจะสนิทสนมกันหรือไม่วัดนี้ไข่เน่าลอยมากลางวงเเน่ๆครับ ซึ่งในตอนนั้นทุกคนมักจะบอกกันว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเเละไม่สมควรกระทำครับ
     แต่พอมาถึงในยุคปัจจุบันนี้วงปี่พาทย์ที่ผมเขียนถึงมาทั้งหมดนี้ โต้โผปี่พาทย์ทุกวงต่างได้เสียชีวิต
ไปกันหมดเเล้ว วัดที่เคยมีวงปี่พาทย์ประจำก็ได้เลิกลากันไปเกือบจะหมดสิ้น ทางวงผมเองก็ไม่ได้ทำประจำอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุง ทั้งๆที่ผมเองก็ยังดูเเลคณะปี่พาทย์ของคุณพ่อผมให้สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนสาเหตุก็คือโดนปี่พาทย์จากต่างถิ่นเเดนไกลเข้ามารับตัดราคาอย่างน่าเกลียดโดยไม่เคยนึกถึงคำว่ามารยาทเหมือนกับวงปี่พาทย์มอญที่เรานั้นคุ้นเคยกันในสมัยก่อนเเละด้วยราคาที่ถูกกว่าจึงทำให้วง
ปี่พาทย์ขาจรนั้นมีงานเยอะกว่าปี่พาทย์เจ้าถิ่นอย่างวงผม จึงทำให้ตัวผมเองขี้เกียจที่จะรับงานที่วัด
เเห่งนี้ ก็เลยเหมือนกับเลิกรับงานไปโดยปริยายตั้งเเต่ปี พศ.2548 เเละก็เเน่นอนไม่ใช่วงผมวงเดียวทีโดนกระทำเเบบนี้ ซึ่งตัวผมเองได้เคยพบกับลูกชายกำนันชม โดยเขาก็ได้บอกผมว่าวงเขาเองก็โดน
เหมือนกันเเบบนี้เหมือนกันเป๊ะ ทำให้เราต่างนึกถึงวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันวงปี่พาทย์ของลุงปลอดเเห่ง
วัดช่องนนทรีย์ขึ้นมาทันที เหมือนกันว่าลุงปลอดอาจทำไม่ถูกในยุคนั้น เเต่ถ้าในยุคนี้ก็สมควรโดน
เเบบนั้นเป็นอย่างยิ่งขอรับ
     เมื่อสิบกว่าปีที่เเล้วมาในสมัยที่วงผมยังรับงานที่วัดราษฎร์บำรุง งานวันเดียวขนาดของวงก็คือเครื่องคู่ สนนราคาอยู่ที่ 3500 บาท กำนันชมเเห่งวัดอุดมรังษีเข้ามาเป็นขาจรก็จะต้องมาในราคน 4000 บาทเป็นอย่างน้อยเเละก็เช่นกันวงผมออกนอกพิ้นที่ราก็จะขยับไปอีกเเละจะไม่น้อยกว่า 4500 บาทอย่างเเน่นอนครับ มันเปรียบเป็นเหมือนกฏกติกามารยาทนั่นเองหรือจะบอกว่ามันคือVolume ของใครของมันที่ไม่อาจเท่ากันได้ เเต่ควรต้องกระเดียดไปทางที่สูงมากกว่าที่จะตัดราคาให้ต่ำกันลงมาครับ
     ความจริงวงปี่พาทย์ของผมนั้นก็ยังคงรับงานเเสดงตามวัดต่างๆทั้งในเเละนอกกรุงเทพเพียงเเต่จำนวนงานนั้นลดน้อยลงกว่าเดิมก็คงว่าด้วยความนิยมของคนสมัยนี้นั่นเเหละครับเเละสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คิอการโดนปี่พาทย์ต่างถิ่นเเดนไกลเข้ามาตัดราคาเเข่งกันถูกหรือลด Volume ให้ต่ำกระหน่ำซัมเมอร์เซล หรือมีโปรโมชั่นเเถมชุดรำเเละเเตรเเห่ศพ เพื่อที่จะให้วงของตัวเองนั้นมีงานเข้ามาเยอะๆ เเละประเด็นนี้มันสำคัญมากครับ จนกระทั่งมีบางวงขุดเอาเรื่องนี้มาวิจารณ์เชิงด่าทอกันในโลกโซเชี่ยล ซึ่งจะว่ากันไปจริงๆเเล้วมันก็สมควรเเหละครับ มีนักดนตรีบางท่านเสนอให้ผมเป็นผู้จัดคิวงานทำเป็นเเนวสมาคมที่มีสมาชิกเป็นวงปี่พาทย์ต่างๆรอรับงานกระจายงานในราคาที่เท่าเทียมกัน เเต่มันก็มีปัจจัยต่างๆ ซึ่งมันยากเกินกว่าที่เราคิดไว้ เอาไว้ฉบับหน้าค่อยมาอ่านกันใหม่ว่าที่ถูกเเล้วมันควรจะมีวิธีจัดการกันอย่างไรดีครับ
                                                                                                                       
                                                                                                                         ขุนอิน

วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ซุปเปอร์ไฮโซ

โลกใบนี้ดนตรีไทย.                                                                 

อ.ขุนอินกำลังสอนการตีระนาดให้ ท่านชิโร ซาโตะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น

     ฉบับนี้ผมจะถือว่าเป็นฉบับเเรกอย่างเป็นทางการสำหรับคอลัมน์โลกใบนี้ดนตรีไทยของผมที่ลงอยู่ในบล๊อคเกอร์เเละเฟสบุ๊คเเฟนเพจโลกใบนี้ดนตรีไทย โดยฉบับที่เเล้วที่เป็นเรื่องของความในใจ ก็ขอให้ถือว่าเป็นบทนำหรือเป็นการรีวิวเท่านั้นเพราะเนื่องจากมิได้มีเรื่องราวหรือเนื้อหาสาระอะไรเเต่อย่างใดนั่นเองเเหละครับ
     ตอนนี้ก็เท่ากับว่าผมได้เป็นนักเขียนอิสระหรือจะบอกให้เป็นเเบบภาษาฟุตบอลก็คงจะกล่าวได้ว่า ผมเป็นนักเขียนฟรีเอเย่นต์  แต่จะว่ากันจริงๆเเล้วนักเขียนอิสระกับนักเขียนมีสังกัดนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเเตกต่างกันเท่าไหร่นัก โดยหลักก็เเค่เขียนได้สตางค์กับเขียนไม่ได้สตางค์เท่านั้นเองเเหละครับ เเต่จะมีปลีกย่อยไปบ้างก็คือการเขียนให้สำนักพิมพ์จะต้องผ่านการตรวจหรือเซ็นเซอร์จากบรรณณาธิการหรือผู้ดูเเลคอลัมน์ในเรื่องเนื้อหาเเละถ้อยคำตัวอักษรต่างๆที่อาจจะทำให้เกิดเป็นคดีความที่ไปๆพาดพิงบุคคลหรือองค์กรใดๆดังนั้นการเป็นนักเขียนอิสระก็จึงต้องระมัดระวังในเรื่องการเขียนตัวอักษรต่างๆให้ดี และอีกอย่างก็คือการจำกัดเนื้อที่ในการเขียนนั้นจะต้องอยู่ในจำนวนบรรทัดที่กำหนดไว้  ง่ายๆว่า ก็คือเป็นเหมือนกับนักร้องที่ไม่มีโปรดิวซ์ นั่นเองเเหละครับ เเต่สำหรับผมเเล้วนั้นประสบการณ์จากการเขียนให้ นสพ.คมชัดลึกมา 11 ปี ก็คงพอที่จะเอาตัวรอดในการเขียนไปได้ครับ
     กลับมาเข้าเรื่องที่ผมตั้งใจจะเขียนกันดีกว่า ก็คือในรอบ 1เดือนกว่าๆที่ผ่านมานั้น ผมได้ไปบรรเลงระนาดเอกให้ชาวต่างชาติ 2 ชาติพันธ์ก็คือ ญี่ปุ่นกับไต้หวันได้รับชมรับฟังกันเเบบที่เรียกว่างานในระดับซุปเปอร์ไฮโซ งานเเรกเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2560 ผมได้ไปตีระนาดคู่กับอาจารย์โนริโกะ นักดีดโกโตะชื่อดังชาวญี่ปุ่น ถึงข้างในบ้านพักส่วนตัวของ ท่านชิโร ซาโตะชิมะ เอกราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งในเนื้องานก็ไม่ได้มีอะไรมาก เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบวาระ 130 ปี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา จึงได้เสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อมาทรงเสวยพระกระยาหารค่ำและพูดคุยกับท่านชิโร ซาโตะชิมะ เป็นการเจริญสัมพันธไมตรี เเละหลังจากนั้นก็จะมีการเเสดงระนาดกับโกโตะ เเละตอนท้ายท่านชิโร ซาโตะชิมะ ก็ได้มาหัดตีระนาดเอกกับผม เป็นเเบบคลอสสั้นๆหลักสูตรพิเศษพอที่จะให้ท่านตีระนาดให้เป็น เพลงซากุระได้  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจของตัวผมที่สามารถทำให้ชาวต่างชาติในระดับเอกอัครราชทูติได้มาสัมผัสกับเครื่องดนตรีไทยของเรา แถมยังได้บรรเลงระนาดเอกถวายให้กับพระองค์ภา เเบบนี้ที่ผมบอกว่าเป็นงานซุปเปอร์ไฮโซก็คงจะไม่ผิดครับ
     ถัดจากนั้น 9 วันในวันที่ 22 สิงหาคม 2560 ผมก็ได้นั่งเครื่องบินของไชน่าเเอร์ บินป๋อไปลงที่สนามบินเถาหยวน ประเทศไต้หวัน เพื่อไปร่วมงาน Goden Melody Award ครั้งที่28 ตามคำเชิญจากกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวัน ที่ได้จัดงานนี้ขึ้นมาเป็นประจำในทุกๆปี ซึ่งวันงานนั้นตรงกับวันที่ 26 สิงหาคม 2560 ซึ่งในเนื้องานก็คล้ายกับงานสุพรณหงส์ทองคำหรือโทรทัศน์ทองคำบ้านเรา ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวันได้มีการมอบรางวัลให้กับศิลปินที่มีเชื้อชาติจีนที่อยู่ทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะเเค่ชาวไต้หวัน ที่ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการคัดเลือกผลงานในรอบปีที่ดีเด่น มาให้ได้รับรางวัล Goden Melody Awerd ในสาขาต่างๆ และก็จะมีการเเสดงชุดต่างๆสลับกับการประกาศเเละมอบรางวัล ซึ่งผมก็ได้เเสดงระนาดเอกร่วมกับวง National Chinese Orchestra Taiwan (NCO.)ในบทเพลงจีนตอกไม้ ซึ่งก็คือเพลงประจำตัวผมนั่นเองเเหละครับเเต่เป็นเวอร์ชั่นที่ทางวง NCO.ได้เรียบเรียงขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สำหรับงานนี้ เเละหลังจากที่ได้เเสดงเสร็จเเล้วทางกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวันนั้นได้ให้เกียรติผมเป็นผู้ประกาศรางวัลเเละมอบรางวัลให้กับศิลปินที่ชนะเลิศ ในอัลบั้มเพลงชื่อชุดอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งผมจำไม่ได้จริงๆ เพราะเนื่องจากเป็นภาษาจีนซึ่งมันเป็นคำที่ค่อนข้างจะจดจำได้ยาก เเต่ก็จำได้ว่าเป็นรางวัลเเนวดนตรีจีนโบราณดั้งเดิม ง่ายๆว่าเเนวเดียวกับตัวผมเองนั่นเองเหละครับ ซึ่งทางเจ้าภาพจัดงานคงมองออกว่า มิสเตอร์ขุนอิน นี่เเหละเหมาสมที่สุดในการมอบรางวัลนี้ ซึ่งตรงนี้ผมคิดไปเองนะครับ เเต่ก็คงจะมีเคล้าโคลงความเป็นจริงเเหละครับ
     ซุปเปอร์ไฮโซจริงๆนะครับ ที่ผมเป็นคนไทยคนเเรกเเละเป็นคนต่างชาติคนเดียวที่กระทรวงวัฒนธรรมไต้หวัน เชิญให้มาเเสดงระนาดเอกเเถมยังเป็นผู้ประกาศเเละมอบรางวัลในงานอันทรงเกียรติของศิลปินชาวจีนที่ภูมิลำเนาอยู่ทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่เเค่เฉพาะในไต้หวันเท่านั้น สำคัญคือมีการเเพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไปทั่วประเทศไต้หวัน  ซึ่งจะว่ากันจริงๆเเล้วนั้น ผมก็ไม่เคยได้รับเกียรติให้ทำเเบบนี้ในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเเม้เเต่เพียงครั้งเดียวครับ
                                                                            ขุนอิน
   

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

ความในใจ..โลกใบนี้ดนตรีไทย

        สวัสดีครับแฟนๆคอลัมน์ของขุนอิน โลกใบนี้ดนตรีไทย ที่เคยอ่านกันประจำทางหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ตอนนี้ผมได้กลับมาประจำการทางเวปบล๊อคเกอร์ แห่งนี้ รวมถึงในเฟสบุ๊คเเฟนเพจโลกใบดนตรีไทย ที่ผมลิ้งค์อยู่กับบล๊อคเกอร์นี้ด้วยครับ
   ถ้าจะถามว่าทำไมผมถึงต้องมาเขียนที่บล๊อคเกอร์นี้ เเล้วทำไมไม่เขียนอยู่ที่คอลัมน์ของ นสพ.คมชัดลึก ที่เคยเขียนมาถึง11 ปี กับอีก11 เดือนๆ (คือลงฉบับเเรกเมื่อวันที่ 9กันยายน2549 และฉบับสุดท้ายเมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม 2560) สาเหตุก็คือทาง นสพ.คมชัดลึก ประสบปัญหากับจำนวนผู้อ่านที่ลดลงเป็นอย่างมากจึงได้ยกเลิกคอลัมน์นิสต์ทุกคนออกจาก นสพ.เเต่ก็ยังคงมีหนังสือพิมพ์ที่วางเเผงอยู่และก็จะมีที่เป็นเเค่เนื้อข่าวต่างๆ เเละคงจะไม่เกินสิ้นปีนี้ก็จะเลิกวางแผงทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้ผมเองก็ทราบจากน้องกิ๊บ ซึ่งเป็นผู้ดูเเลคอลัมน์ต่างๆของนักเขียน ที่ได้บอกกล่าวกับผมเหมือนจะเป็นการอำลาซึงกันเเละกัน ซึ่งตัวเขาเองนั้นก็ได้ถูกยกเลิกจากการเป็นพนักงานประจำ...คิดไปเเล้วก็น่าเศร้าใจเเทนน้องกิ๊บครับ
   หลังจากที่ได้ว่างเว้นไป 2 เดือนก็มีเเฟนคอลัมท่านหนึ่งที่ได้พบกับผมที่งานไหว้ครูของคณะมันฑณศิลป ม.ศิลปากร เมื่อ 3 วันที่ผ่านมานี้เองซึ่งได้พูดคุยกับผมถึงเรื่องคอลัมนโลกใบนี้ดนตรีไทยว่าหายไปไหน ผมก็เลยต้องเรียนให้เขาทราบไปตามตรงเเละก็เลยคิดว่าเราควรจะต้องกลับมาเขียนต่อไปเพราะมีคนรออ่านกันอยู่ เเต่ว่าผมจะไปเขียนที่ไหนดีล่ะ ซึ่งจะเป็นทางสำนักพิมม์อื่นๆ ก็คงจะดูไม่งามนัก เพราะว่าคอลัมน์นี้อยู่กับคมขัดลึกมานานมาก นานเกินกว่าที่จะไปเขียนให้สำนักพิมพ์อื่น ก็คือว่ากันด้วยเรื่องของมารยาทนั่นเองเเหละครับ แต่ถ้าจะไปเขียนให้สำนักพิมพ์อื่นๆผมก็ควรจะต้องเปลี่ยนชือคอลัมน์ไปเป็นอย่างอื่นเสียก่อน ผมก็เลยคิดว่าอย่างนั้นเรามาเขียนเป็นแบบเอกเทศของเราภายใต้ชื่อว่าคอลัมน์โลกใบนี้ ดนตรีไทย แบบเดิมน่าจะดีกว่า เพราะยังไงก็มีเเฟนคอลัมน์ที่อ่านกันมาเป็นประจำอย่างยาวนานนับสิบปี เเค่เปลี่ยนเเปลงที่อยู่จาก นสพ.คมชัดลึก มาอยู่ในโลกโซเชี่ยลอย่างบล๊อคเกอร์ และแฟนเพจเฟสบุ๊ค เดี๋ยวเเฟนคอลัมน์ของผมก็จะค่อยๆทราบกันเเละตามมาอ่านกันเหมือนเดิมเเหละครับ
   เอาล่ะครับ..เอาเป็นว่าต่อไปนี้เราจะมาพบกัน ณ ที่ตรงนี้เดือนละ 2 ครั้ง เป็นประจำในทุกๆวันที่ 1 เเละ 16 ของทุกๆเดือนโดยเริ่มจากวันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ง่ายๆว่าวันหวยออกเเฟนๆคอลัมน์ของผมเข้ามาอ่านคอลัมน์โลกใบนี้ดนตรีไทย เเบบไลฟ์สไตล์ กันได้ตามปกติที่นี่เหมือนเดิมครับ และเผลออาจจะมีเลขเด็ดมาฝากกันด้วยนะครับ
                                      ขุนอิน