วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560



   นวัตกรรมทางดนตรี 2




อัลบั้มออกมาในปี พศ.2551เเละเปลี่ยนชื่อเป็น ขุนอิน ออฟบีทสยาม

   ถ้าถามว่าทำไมผมถึงต้องเล่นดนตรีร่วมสมัยด้วยความจริงเเล้วในช่วงเริ่มเเรกผมเองก็ไม่ได้พิศวาสอะไรกับดนตรีเเนวนี้หรอกครับเรื่องมันก็มีอยู่ว่าหลังจากที่ครูจำเนียร ศรีไทยพรรณกับพี่ต๋องเทวัญ ทรัพย์แสนยากร ได้รวมตัวกันตั้งวงกังสดาลจึงได้รวบรวมนักดนตรีไทยเพื่อที่จะเข้ามาร่วมวงนี้ครูจำเนียร ศรีไทยพรรณจึงได้ติดต่อมาทางคุณพ่อของผมให้ตัวของผมนั้นเข้ามาร่วมวงดังสดาลในตำเเหน่งระนาดทุ้ม ซึ่งในยุคนั้นในวงการดนตรีไทยส่วนใหญ่จะรู้ถึงกิตติศัพท์ในการตีระนาดทุ้มกันเป็นอย่างดีเนื่องจากคนในวงการดนตรีไทยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้เห็นฝีมือการบรรเลงระนาดเอกของผมนั่นเองเเหละครับ จนกระทั่ง 3 ปีผ่านมาวงกังสดาลก็ถึงคราวล่มสลายในช่วงนั้นผมกับพี่ต๋องเทวัญ ทรัพย์เเสนยากรนั้นสนิทสนมกันมาก เเล้วพี่ต๋องก็ได้ไปตั้งวงดนตรีร่วมสมัยของท่านในนาม เทวัญ โนเวลเเจ๊ส ตัวผมเองนั้นก็ยังคงสังกัดอยู่ที่วงกังสดาล ที่ยังมีครูจำเนียร เป็นหัวหน้าวงเเละต่อมาก็ได้กลายมาเป็นวงบอยไทยในปี พศ.2535 ตอนนั้นถึงตัวผมยังอยู่วงบอยไทยแต่บอกตรงๆเลยว่าผมชื่นชอบแนวเพลงวงเทวัญ โนเวลเเจ๊ส ของพี่ต๋องมากกว่าครับ แต่ผมก็ยังคงอยู่วงบอยไทยเรื่อยมา จนกระทั่งในปี พศ. 2540 พี่ต๋อง เทวัญ ได้รับโปรเจคทำวงดนตรีร่วมสมัยกับนักเปียโนระดับโลกชาวสวิสฯที่ชื่อว่า มิสเตอร์ฟรองซัว ลินเดอร์แมน พี่ต๋องได้ชวนผมให้มาเป็นมือระนาดเอกในโปรเจ็คนี้ที่มีชื่อว่า 2 ขั้วจั่วเเจ๊ส เเละพี่ต๋องได้มอบหมายให้ผมคัดเลือกเพลงไทยเดิมส่งไปให้ฟรองซัว ลินเดอร์แมน ไปเรียบเรียงเเละหลังจากนั้นก็ได้ไปทำการแสดงครั้งเเรกเมื่อปี พศ.2540 ใน 4 เมืองของประเทศสวิสและอีก 1 เมืองของฝรั่งเศส และในปีต่อมาก็ไปทำการเเสดงที่ประเทศสวิสฯ อีก 3 เมืองพร้อมบันทึกเสียงอัลบั้มชุดนี้ออกมาที่ประเทศสวิสเซอร์เเลนด์ พร้อมทั้งนำอัลบั้มเพลงชุดนี้มาวางเเผงที่เมืองไทยอีกด้วยครับ ผลปรากฏว่าตัวอัลบั้มเพลงนั้นเป็นที่ยอมรับของวงการดนตรีไทยเเละสากลในยุคนั้นเป็นอย่างดีเเต่ว่าตัวผมนั้นโดนไล่ออกจากวงบอยไทยด้วยสาเหตุอะไรผมก็ไม่ทราบ เเต่ก็ผมเองก็จะเดาๆออกอยู่ในใจเหมือนกันเเหละครับ
     ออกครับ ไม่เป็นอะไรเพราะตอนนั้นผมเองก็ต้องคุมสำนักปี่พาทย์คณะศิษย์สุพจน์ โตสง่าของคุณพ่อผมอย่างเต็มตัวเพราะคุณพ่อผมได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้น ประกอบกับผมยังเป็นข้าราชการครูอยู่ที่โรงเรียนวัดห้วยจรเข้วิทยาคม จังหวัดนครปฐม ซึ่งแค่นั้นมันก็เหนื่อยพอควรเเล้วครับ แต่เรื่องราวมันไม่จบเพียงเเค่นั้นทางพี่ต๋องเทวัญ ได้ทราบข่าวการออกจากวงบอยไทยของผมจึงได้ชักชวนให้ผมได้มาร่วมวงเทวัญ โนเวลเเจ๊ส โดยให้ผมได้มาประจำการในตำเเหน่งระนาดเอกอย่างเต็มตัวอีกต่างหาก ซึ่งก็คงเป็นเพราะพี่ต๋องเทวัญอาจจะติดใจลีลาชั้นเชิงสไตล์ระนาดของผมเองกระมังครับ ส่วนตัวผมก็ไม่ลังเลเพราะโดยส่วนตัวผมเองก็ชอบแนวคิดเเละวิธีการทำเพลงเเนวนี้ของพี่ต๋องอยู่เเล้วประกอบกับตัวผมเองก็เหมือนกับนักเตะฟรีเอเย่นต์ไร้สังกัดจึงไม่ปฏิเสธที่จะไปร่วมกับวงเเห่งเเคว้นคาตาลัน อ้อไม่ใช่ครับวงเทวัญ โนเวลเเจ๊ส ตั้งเเต่เมื่อปีพศ. 2541เรื่อยมาครับ
     หลังจากนั้นพี่ต๋องได้ทำอัลบั้มโนเวลเเจ๊สชุดใหม่ขึ้นมาผมก็ช่วยพี่ต๋องหาเพลงไทยเดิมให้พี่ต๋องเรียบเรียงพร้อมบันทึกเสียงระนาดเอกให้อีกด้วยตอนนั้นเหมือนฝันที่เป็นจริงคือได้ย้ายมาร่วมกับวงดนตรีในฝันเเละก็ได้เดินทางไปแสดงกับวงพี่ต๋องอยู่ถึง6ปีกว่าก็ต้องเเยกทางกับวงพี่ต๋องทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอย่างนั้นเนื่องจากผมไปโด่งดังกับภาพยนต์เรื่องโหมโรงนั่นเองเเหละครับคืองานโชว์ตัวมันเยอะมากจริงๆช่วงนั้นมีงานทุกวันเฉลี่ยเเล้ววันละ 2 งานบางวันมีถึง 5 งาน 
     ช่วงนั้นผมไม่ได้โชว์ตัวอย่างเดียวเหมือนกับดาราคนอื่นๆเขาหรอกครับ คือทุกงานผมต้องไปโชว์ตีระนาดเอกซึ่งผมเหมือนกับมีทุกอย่างอยู่ในสมองมานานมากพอเเล้วพร้อมที่จะจัดโชว์ตามงานที่มีคอนเซ็ปต่างกันไป โดยหลักผมได้ตั้งวงดนตรีร่วมสมัยขึ้นมาใหม่ที่ใช้ชื้อว่า ขุนอิน ออฟเดอะบีท คือใช้ระนาดเอกรางเดียวซึ่งจะห้อมล้อมไปด้วยเครื่องดนตรีสากล คีย์บอร์ด กีต้าร์ กลองชุด เบสและเพอร์คัชชั่น เเนวเพลงหลักก็จะเป็นเพลงบรรเลงระนาดเอกเเนวลาติน ซึ่งเพลงเก่งก็คือจีนตอกไม้นั่นเองเเหละครับเเล้วก็ยังใช้เล่นมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยครับ
      ขุนอินออฟเดอะบีท ของผมสมาชิก 6 คนได้เดินทางไปแสดงทั้งในประเทศเเละต่างประเทศมากมายหลายร้อยงานรวมเวลา 4 ปีกว่าเเล้วจึงได้ทำอัลบั้มออกมาในปี พศ.2551เเละเปลี่ยนชื่อเป็น ขุนอิน ออฟบีทสยาม ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้มีอัลบั้มบางกอกอคูสติคและขุนอินระนาดบางกอก ออกมาก่อนหน้านี้เเล้วและหลังจากนั้นผมจึงได้รวบรวมพลพรรคนักดนตรีขึ้นมาใหม่เปลี่ยนเเนวมาเล่นเป็นแบบฟิวชั่นเเจ๊สเเละได้ออกอัลบั้มมาใหม่ในปี พศ.2556 ที่มีชื่อว่า ขุนอิน แจ๊สออฟสยาม โดยระหว่างนั้นถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่ได้ออกผลงานเพลงมาเป็นอย่างทางการก็ได้เเต่ไป feat.กับศิลปินอื่นๆประกอบกับโลกในโซเชี่ยลมันได้พัดพาแผ่นซีดีลอยน้ำไปศิลปินทุกๆคนก็เริ่มมุ่งหน้าไปทางยูทูปผมเองก็ต้องตามกระเเสเขาไปในยูทูปเหมือนกับคนอื่นเเต่มันก็ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังเหมือนกับการทำอัลบั้มของผมที่ผ่านมาเเต่อย่างใด และวันเวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงวันนี้เเล้วตัวผมเองนั้นไม่ใช่ว่าจะหยุดนิ่งในการทำอัลบั้มเพลงเเต่อย่างใดเเละผมก็ได้รวบรวมพลพรรคนักดนตรีขึ้นมาใหม่อีกเเละเปลี่ยนเเนวดนตรีออกไปจากเดิมอีกเเต่จะเป็นอะไรเเบบใดฉบับหน้าค่อยมาว่ากันใหม่นะครับ รับรองว่าไฉไลเอี่ยมอ่อง ชื่อคอลัมน์มันก็ฟ้องอยู่เเล้วครับ
    ปล.ขออภัยที่ฉบับนี้ล่าช้าไป 5 วัน เนื่องจากผมมีเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจเเละพึ่งจะรวบรวมสติปัญญาเเละพลังใจลุกขึ้นมาทำงานต่างๆได้ครับ
                                                                                 ขุนอิน

วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงต้องเล่นดนตรีเเนวนี้ ทั้งๆที่ผมเป็นนักดนตรีแนวอนุรักษ์ตัวพ่อตัวเเม่

นวัตกรรมทางดนตรี

     ในโลกนี้มีเครื่องดนตรีมากมายหลายร้อยหลายพันชนิดที่เกิดขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นดนตรีไทย ดนตรีจีน ดนตรีเเขก หรือดนตรีฝรั่งมังค่าที่จะเรียกกันว่าดนตรีสากล เเต่ทุกสิ่งอย่างที่ผมกล่าวมานั้นมนุษย์เรานั่นเเหละเป็นผู้สร้างดนตรีทุกชนิดขึ้นมา เพียงเเต่ดนตรีทุกชนิดนั้นจะเกิดขึ้นมานานเกินกว่าที่พวกเราจะทราบกันว่าใครเป็นผู้ค้นคิดหรือประดิษฐ์เครื่องดนตรีในเเต่ละชนิดนั้นขึ้นมานั่นเองเเหละครับ
     ส่วนในเรื่องของดนตรีไทยเรานั้นตามตำราประวัติเครื่องดนตรีบอกว่ามีมาตั้งเเต่สมัยสุโขทัย เเต่ในบางชนิดอย่างระนาดเอกนั้นก็พึ่งจะมีมาในสมัยอยุธยา แต่ก็มีนักโบราณคดีบางท่านได้ค้นพบหลักฐานว่าระนาดเอกนั้นเกิดขึ้นมาตั้งเเต่สมัยสุโขทัยเหมือนกัน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อให้โต้เเย้งกันไปนั่นเเหละครับ เเต่จะว่ากันจริงๆเเล้วนั้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันก็เป็นเพียงข้อสันนิฐาน ตำราไหนจะถูกหรือผิดมันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินให้ชี้ชัดกันไป เพราะจริงๆเเล้วนั้นก็ไม่มีใครในยุคนี้เกิดทันสมัยสุโขทัยหรืออยุธยาหรอกครับ เเละที่สำคัญคือหลักฐานทุกอย่างนั้นมนุษย์เราก็เป็นผู้สร้างขึ้นมาอยู่เเล้วนี่ครับ สรุปว่าเครื่องดนตรีไทยเราทุกชนิดนั้นเกิดขึ้นมาหลายร้อยปีเเล้วครับจะยุคไหนสมัยไหนก็คงไม่เป็นอะไร เเละตัวผมเองนั้นก็ยังไม่เคยเห็นเครื่องดนตรีไทยชนิดใหม่ๆ เกิดขึ้นมาในยุคของผมแม้เเต่ชนิดเดียวหรือจะมีอย่างมากก็เเค่เอามาดัดเเปลงกันมาใหม่ในเรื่องของระดับเสียงเท่านั้นเอง
     ส่วนการเล่นดนตรีไทยของเราในยุคนี้ เราๆท่านๆนั้นคงจะทราบกันดีว่าจะมีอยู่ 2 แบบอย่างให้เราได้เห็นเเละได้เล่นกันก็คือการเล่นเเบบเดิมๆที่จะเรียกกันว่าเเนวอนุรักษ์ เช่นวงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย ส่วนอีกเเบบหนึ่งก็คือเเนวร่วมสมัยหรือเเนวคอนเท็มโพรารีเเต่ถ้าจะเรียกให้เก่าลงไปหน่อยก็คือเเนวประยุกต์หรือดนตรีไทยผสมดนตรีสากลนั่นเองเเหละครับ ส่วนนักดนตรีไทยเรานั้นใครใคร่จะเล่นกันเเบบไหนก็มีสิทธิ์ที่จะกระทำกันได้ทุกๆคน อย่างไม่ต้องกลัวเกรงว่าดนตรีเเนวร่วมสมัยนี้จะทำให้การเล่นดนตรีไทยเเบบเดิมๆต้องสูญหายหรือเสียหายไป เหมือนอย่างเมื่อสมัยเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมานั้น มักจะมีเสียงต่อต้านดนตรีเเนวร่วมสมัยนี้จากครูดนตรีไทยผู้ใหญ่ในยุคก่อน เพราะว่าในปัจจุบันนี้ดนตรีร่วมสมัยนั้นเล่นกันตั้งเเต่วงเด็กนักเรียนชั้นประถม มัธยม อุดมศึกษาจนไปถึงวงดนตรีของหน่วยงานภาครัฐเเละเอกชน กองดุริยางค์ของเหล่าทัพทุกเหล่าต่างก็มีวงดนตรีร่วมสมัยกันหมดทุกสถาบันครับ
     ถ้าถามว่าดนตรีร่วมสมัยมีมานานหรือยัง ถ้าเป็นเมืองไทยบ้านเราวงเเรกที่ปรากฏต่อสาธารณชน ผมคิดว่าก็น่าจะเป็นวงกรมประชาสัมพันธ์ของครูเอื้อ สุนทรสนาน ซึ่งก็จะมีมาตั้งเเต่ก่อนยุค พศ.2500 แต่ก็จะมาเป็นรูปแบบในลักษณะของบทเพลงขับร้องสากลในบางเพลงที่นำทำนองเพลงไทยเดิมไปแต่งใหม่เท่านั้นเอง ก็คือไม่ได้เล่นรวมกับดนตรีไทยในทุกๆบทเพลง เเต่ถ้าจะให้นับวงดนตรีร่วมสมัยเเบบมาตรฐานก็ต้องเป็นวงฟองน้ำที่รวมตัวกันมาเมื่อปี พศ.2522 หลังจากนั้น 10 ปีก็จะตามมาเป็นวงกังสดาล ตามด้วยวงโนเวลเเจ๊ส ในปีเดียวกัน เเละบอยไทยในปี พศ.2536 ซึ่งวงดนรีร่วมสมัยเหล่านี้จัดเป็นกลุ่มวงดนตรีร่วมสมัยในยุคเเรกๆของเมืองไทย เเต่ไม่ใช่ว่าประเทศไทยเรานั้นเป็นประเทศเเรกที่เล่นดนตรีร่วมสมัยนะครับ
     ประวัติดนตรีร่วมสมัยนั้นเคยมีบันทึกของนักดนตรีสากลคลาสสิคท่านหนึ่งว่า ในการเกิดขึ้นครั้งเเรกของวงดนตรีร่วมสมัยก็คือวงออเคสตร้าทางฝั่งยุโรปนั้น มาเเสดงร่วมกับกลองแอฟริกา ก็คงจะเป็นพวกกลองเจมเบ้นั่นเเหละครับ เเต่ก็ไม่ได้ระบุว่าการเเสดงนั้นเป็นสถานที่เเห่งใด ส่วนตามประวัตินั้นจะเป็นจริงเเค่ไหนก็คงต้องพิสูจน์กันต่อไปเเหละครับ เเต่ที่เเน่ๆทางฝั่งประเทศจีนนั้นมีวงดนตรีร่วมสมัยเกิดขึ้นก่อนบ้านเราอย่างเเน่นอนเช่นดนตรีประกอบการเเสดงกายกรรมหรือวงออเคสตร้าจำพวกเครื่องสายจีนก็เกิดขึ้นมานานก่อนบ้านเรา แต่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอีกก็คือเพลงปลุกใจของประเทศจีนที่ได้นำเครื่องดนตรีโบราณจำพวกเครื่องสายมาเล่นรวมกับเพลงปลุกใจตั้งเเต่ประเทศเขายังปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งตรงนี้วงดนตรีของบ้านเรานั้นก็ได้รับอิทธิพลทางดนตรีเเนวนี้จากประเทศจีนเเต่ก็กลายเป็นดนตรีเเนวเพื่อชีวิตในบ้านเรา ไม่ใช่วงดนตรีร่วมสมัยเเต่อย่างใดครับ
     ส่วนตัวของผมนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีว่าผมนั้นเลือกที่จะเล่นดนตรีไทยทั้งสองเเบบสองเเนว เหตุผล   ก็คือเเบบเเรกในดนตรีเเนวไทยเดิมหรือเเนวอนุรักษ์นั้น ผมเล่นมาตั้งเเต่เเรกเกิดเเล้วล่ะครับก็คือตระกูลโตสง่าของผม ครูอุทัย โตสง่า ปู่ทวดของผมเป็นนักดนตรีไทยที่อพยพลงมาจาก บางปะอิน จ.อยุธยา แล้วมาตั้งรกรากที่หลังวัดบวรนิเวศ ย่านบางลำพู กรุงเทพฯ ตั้งเเต่สมัยรัชกาลที่ 4 โน่นเลยครับ ส่วนทางคุณเเม่ผมสายสกุลดุริยพันธุ์นั้นก็เป็นตระกูลนักดนตรีที่มีขื่อเสียงในยุครัชกาลที่6 ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมต้องเป็นนักดนตรีแนวอนุรักษ์เเบบดั้งเดิมเเละยังเป็นผู้สืบสานตระกูลปี่พาทย์โตสง่า ให้ยังคงเป็นสำนักปี่พาทย์ที่มีการเรียนรู้เเบบโบราณที่จะต้องมากินนอนและฝึกซ้อมอยู่ในบ้านเดียวกันให้เหมือนกับในยุคสมัยของครูพุ่ม โตสง่าคุณปู่ของผม ซึ่งจะตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 นั่นเองเเหละครับ ดังนั้นเเล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องเล่นดนตรีไทยเดิมเเนวอนุรักษ์ และยังไม่เพียงเเค่นั้นการดำเนินชีวิตของผมในทุกๆวันก็ยังคงเป็นในรูปแบบการอนุรักษ์วิถีนักดนตรีไทยโบราณ เช่นผมจะต้องจุดธูปไหว้พระ ไหว้ครูบาอาจารย์ในตอนเช้าของทุกๆวัน เเละยังต้องถวายหมูนอนตอง หรือไก่ต้ม บายศรี มาลัยดอกไม้ ผลไม้ รวมถึงขนมนมเนย น้ำชากาเเฟ เป็นประจำในทุกๆวันพฤหัสบดีเเละวันอาทิตย์ เเละสำคัญสุดคือทุกมื้ออาหารของผมก่อนที่ผมจะรับประทานต้องยกมือไหว้อธิฐานจิตให้บรมครูที่ปกปักรักษาเรานั้นมารับภัตราหารก่อนที่พวกเราจะลงมือรับประทานอาหารของมื้อนั้นๆ ซึ่งผมเองก็จะสั่งสอนให้ลูกศิษย์ในสำนักของผมนั้นใหักระทำตามเเบบนี้เหมือนกับที่ตัวผมเองนั้นได้ทำตามเเบบอย่างของครูสุพจน์ โตสง่าบิดาของผมเองนั่นเเหละครับ
     ส่วนในเเบบที่ 2 ก็คือเเนวร่วมสมัย แต่ถ้าถามว่าทำไมผมถึงต้องเล่นดนตรีเเนวนี้ ทั้งๆที่ผมเป็นนักดนตรีแนวอนุรักษ์ตัวพ่อตัวเเม่ ก็คงต้องเอาไว้อ่านในฉบับหน้ากันดีกว่าครับเพราะฉบับนี้ผมเขียนมายาวมากเเล้วกลัวท่านๆนั้นเบื่อที่จะอ่านกันเสียก่อนครับ เเละฉบับหน้าก็จะทราบกันอีกด้วยว่าอะไรนั้นคือ นวัตกรรมทางดนตรี เเล้วมันจะไปเกี่ยวข้องอะไรกับดนตรีร่วมสมัยหรือไม่ เอาไว้พบกันฉบับหน้าในวันที่ 16 ธันวาคม 2560 นะครับ และสำหรับฉบับนี้ก็ต้องขออภัยในความล่าช้าไป 2 วัน เนื่องจากขัดข้องทางเทคนิคในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ...สวัสดีครับ


                                                                                                             ขุนอิน