วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560


โลกใบนี้ดนตรีไทย
Volumeดนตรีไทย



     ย้อนไปในสมัยที่ผมอยู่ในวัยเด็กอายุประมาณ 10 ขวบในยุคนั้นวงปี่พาทย์กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างเเพร่หลายโดยเฉพาะในงานศพ วงปี่พาทย์มอญทั้งในกรุงเทพเเละต่างจังหวัดจะมีงานให้ได้ไปแสดงกันเเบบเนืองเเน่นเเทบจะวันเว้นวันก็ว่าได้ ทุกวัดถ้ามีศพเข้ามาเป็นอันต้องมีวงปี่พาทย์มอญมาประโคมศพกันทุกวัด เหมือนเป็นเครื่องปลอบประโลมคลายเศร้าให้กับเจ้าภาพและก็กลายเป็นที่นิยมต่อชาวบ้านในยุคนั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งสาเหตุก็คือกระเเสวัฒนธรรมต่างชาติรวมถึงกระเเสโลกโซเชี่ยลยังไม่ได้เข้ามามีบทบาทที่รุนเเรงต่อสังคมไทยเราเหมือนในยุคนี้ครับ ผลก็คือนักดนตรีไทยในยุคนั้นหรือก่อนหน้าผมด้วยซ้ำไปต่างก็จะมีงานเเสดงกันอย่างถ้วนหน้าไม่ต้องปากกัดตีนถึบกันเหมือนทุกวันนี้ครับ
     ในยุคนั้นวงปี่พาทย์ในกรุงเทพ ต่างก็จะมีวัดประจำเป็นของวงตัวเอง อย่างเช่นวงของคุณพ่อผมก็จะ ประจำอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุง ย่านหนองเเขม เเต่ก่อนหน้านี้วงครูพุ่ม โตสง่าคุณปู่ของผมได้ประจำอยู่ที่
วัดทองนพคุณ อยู่เเถวๆคลองสาน จนกระทั่งคุณปู่ของผมเสียขีวิตตั้งเเต่ผมยังไม่เกิดเเละคุณลุงของผมท่านก็ดำเนินกิจการต่อ จนกระทั่งผมเองก็ได้กลายมาเป็นลูกวงของท่านในช่วงวัยเด็ก จนกระทั่งปีพศ.2521ก็ได้เลิกกิจการ ซึ่งสาเหตุก็คือมักกะทายกหรือประมาณผู้จัดการผลประโยชน์ของวัดได้
เสียชีวิตเเละคนที่มาใหม่ก็ได้เอาวงปี่พาทย์มอญจากที่อื่นมาประจำเเทนนั่นเองครับ
     ส่วนที่วัดราษฎร์บำรุงซึ่งเป็นวัดที่คุณพ่อผมประจำอยู่นั้นได้เริ่มเข้ามาทำตั้งเแเต่ปีพศ.2515 ตามคำชักชวนของท่านพระครูปลัดวิชินหรืออาจารย์หรั่ง ซึ่งท่านเป็นคนท้องที่เเละท่านบวชมาตั้งเเต่เป็นเณรจนกระทั่งกลายเป็นเจ้าอาวาสในยุคนี้ ท่านจึงมีพาวเวอร์ในวัดนี้มากโดยท่านจะคอยดูเเลเเละรับงานให้
วงปี่พาทย์ของผมมาตั้งเเต่ยุคสมัยคุณพ่อของผมครับ
     ในย่านพื้นที่ฝั่งธนบุรีในยุคนั้นวัดต่างๆก็จะมีวงปี่พาทย์ประจำ โดยเป็นที่รู้กันเเบบไม่ต้องมาบอกกันว่า วัดนี้ของฉันนะ วัดนี้เป็นของวงผมอะไรเเบบนั้น เนื่องจากโต้โผปี่พาทย์ส่วนใหญ่ก็จะรู้จักเเละสนิทสนมกันเป็นส่วนตัวอยู่เเล้ว อย่างเช่นวัดเสวตฉัตร รวมถึงวัดสุวรรณ เเถวย่านเจริญนคร ก็จะเป็นวงของคุณลุงง่อนหรือครูเรืองเดช พุ่มไสว กระเถิบไปแถวจรัลสนิทวัดท่าพระก็จะเป็นของลุงผลส่วนวัดบางเสาธงก็จะเป็นวงครูโม วัดยางก็จะเป็นครูเชื่อม วกมาทางย่านถนนเพชรเกษม วงปี่พาทน์กำนันชมก็จะประจำที่วัดอุดมรังษี ส่วนวัดม่วงก็จะเป็นวงของพี่เเก่ วัดนิมมานนรดีก็จะเป็นดาบชื้น วัดศาลาเเดงก็จะเป็นคณะแตงอ่อนไมตรีจิต ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นจ้าวเเห่งเเตรวง
     ยังมีที่ผมยังไม่คุ้นเคยอีกหลายวงหลายวัด เเต่ทุกวงก็จะมีกฏคล้ายกันคือเราจะไม่รับราคาตัดหน้าหรือรับราคาที่ถูกกว่าปี่พาทย์ประจำวัดในกรณีที่จะต้องไปเยือนถิ่นในวัดเราไม่ได้ประจำอยู่และก็จะไม่มีใครวงไหนทำผิดกฏผิดมารยาทในการรับงานย่านแถวๆบ้านผมด้วยครับ
     ส่วนทางฝั่งกรุงเทพฯ เท่าที่ผมรู้นั้ก็วัดมกุฏกษัตริย์ ก็จะมีคุณยายภาหรือป้าภาประจำอยู่ วัดสังเวชก็จะเป็นบ้านดุริยประณึต วัดเเก้วฟ้าย่านเกียกกายก็คณะของคุณอาสุรีย์ สุขีรักษ์ เเละที่เด็ดสุดก็คือคณะของคุณลุงผาด การคุณี ที่ประจำอยู่ที่วัดมะกอก อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คือในยุคนั้นวงลุงผาดจะมีงานปี่พาทย์ชุกมากที่สุดกว่าทุกวงก็ว่าได้ เพราะเนื่องจากลุงผาดท่านมักจะมาขอเด็กปี่พาทย์บ้านพ่อผม รวมถึง
ตัวผมเองหาไปบรรเลงให้วงเเกในวันที่มะกอกมีปี่พาทย์มอญเเยกกันหลายศาลา เเละยังมีอีกหลายต่อหลายวงที่ผมยังไม่ได้เอ่ยถึงเช่นลุงเอิ้น แห่งวัดหัวลำโพงเเละที่ถือว่าเป็นวงปี่พาทย์ในตำนานก็คือ
วงของคุณลุงปลอดเเห่งวัดช่องนนทรีย์ ซึ่งยุคนั้นจะเป็นที่เรื่องลือเเละครั่นคร้ามสยดสยองไข่เน่า คือ
ถ้าปี่พาทย์ต่างถิ่นวงไหนที่ไม่คุ้นเคยหรือรู้จักกันมาก่อนเเล้วนั้นมักจะได้ของฝากจากปี่พาทย์เจ้าถิ่นก็คือไข่เน่าปาเข้าไปในวงยามที่วงท่านกำลังเพลิดเพลินในขณะที่บรรเลงเพลง ขนาดคุณพ่อผมนั้นคุ้นเคยกับลุงปลอดก็ยังไม่อยากเข้าไปรับงานที่วัดช่องนนทรีย์เพราะลุงปลอดเคยบอกพ่อผมว่าลูกน้องเเกทำจนเคยมือ หลายครั้งไม่เคยสั่งให้มันทำ เเต่มันก็จะทำของมันเองเป็นเรื่องปกติ สรุปว่าจะสนิทสนมกันหรือไม่วัดนี้ไข่เน่าลอยมากลางวงเเน่ๆครับ ซึ่งในตอนนั้นทุกคนมักจะบอกกันว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเเละไม่สมควรกระทำครับ
     แต่พอมาถึงในยุคปัจจุบันนี้วงปี่พาทย์ที่ผมเขียนถึงมาทั้งหมดนี้ โต้โผปี่พาทย์ทุกวงต่างได้เสียชีวิต
ไปกันหมดเเล้ว วัดที่เคยมีวงปี่พาทย์ประจำก็ได้เลิกลากันไปเกือบจะหมดสิ้น ทางวงผมเองก็ไม่ได้ทำประจำอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุง ทั้งๆที่ผมเองก็ยังดูเเลคณะปี่พาทย์ของคุณพ่อผมให้สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนสาเหตุก็คือโดนปี่พาทย์จากต่างถิ่นเเดนไกลเข้ามารับตัดราคาอย่างน่าเกลียดโดยไม่เคยนึกถึงคำว่ามารยาทเหมือนกับวงปี่พาทย์มอญที่เรานั้นคุ้นเคยกันในสมัยก่อนเเละด้วยราคาที่ถูกกว่าจึงทำให้วง
ปี่พาทย์ขาจรนั้นมีงานเยอะกว่าปี่พาทย์เจ้าถิ่นอย่างวงผม จึงทำให้ตัวผมเองขี้เกียจที่จะรับงานที่วัด
เเห่งนี้ ก็เลยเหมือนกับเลิกรับงานไปโดยปริยายตั้งเเต่ปี พศ.2548 เเละก็เเน่นอนไม่ใช่วงผมวงเดียวทีโดนกระทำเเบบนี้ ซึ่งตัวผมเองได้เคยพบกับลูกชายกำนันชม โดยเขาก็ได้บอกผมว่าวงเขาเองก็โดน
เหมือนกันเเบบนี้เหมือนกันเป๊ะ ทำให้เราต่างนึกถึงวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันวงปี่พาทย์ของลุงปลอดเเห่ง
วัดช่องนนทรีย์ขึ้นมาทันที เหมือนกันว่าลุงปลอดอาจทำไม่ถูกในยุคนั้น เเต่ถ้าในยุคนี้ก็สมควรโดน
เเบบนั้นเป็นอย่างยิ่งขอรับ
     เมื่อสิบกว่าปีที่เเล้วมาในสมัยที่วงผมยังรับงานที่วัดราษฎร์บำรุง งานวันเดียวขนาดของวงก็คือเครื่องคู่ สนนราคาอยู่ที่ 3500 บาท กำนันชมเเห่งวัดอุดมรังษีเข้ามาเป็นขาจรก็จะต้องมาในราคน 4000 บาทเป็นอย่างน้อยเเละก็เช่นกันวงผมออกนอกพิ้นที่ราก็จะขยับไปอีกเเละจะไม่น้อยกว่า 4500 บาทอย่างเเน่นอนครับ มันเปรียบเป็นเหมือนกฏกติกามารยาทนั่นเองหรือจะบอกว่ามันคือVolume ของใครของมันที่ไม่อาจเท่ากันได้ เเต่ควรต้องกระเดียดไปทางที่สูงมากกว่าที่จะตัดราคาให้ต่ำกันลงมาครับ
     ความจริงวงปี่พาทย์ของผมนั้นก็ยังคงรับงานเเสดงตามวัดต่างๆทั้งในเเละนอกกรุงเทพเพียงเเต่จำนวนงานนั้นลดน้อยลงกว่าเดิมก็คงว่าด้วยความนิยมของคนสมัยนี้นั่นเเหละครับเเละสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คิอการโดนปี่พาทย์ต่างถิ่นเเดนไกลเข้ามาตัดราคาเเข่งกันถูกหรือลด Volume ให้ต่ำกระหน่ำซัมเมอร์เซล หรือมีโปรโมชั่นเเถมชุดรำเเละเเตรเเห่ศพ เพื่อที่จะให้วงของตัวเองนั้นมีงานเข้ามาเยอะๆ เเละประเด็นนี้มันสำคัญมากครับ จนกระทั่งมีบางวงขุดเอาเรื่องนี้มาวิจารณ์เชิงด่าทอกันในโลกโซเชี่ยล ซึ่งจะว่ากันไปจริงๆเเล้วมันก็สมควรเเหละครับ มีนักดนตรีบางท่านเสนอให้ผมเป็นผู้จัดคิวงานทำเป็นเเนวสมาคมที่มีสมาชิกเป็นวงปี่พาทย์ต่างๆรอรับงานกระจายงานในราคาที่เท่าเทียมกัน เเต่มันก็มีปัจจัยต่างๆ ซึ่งมันยากเกินกว่าที่เราคิดไว้ เอาไว้ฉบับหน้าค่อยมาอ่านกันใหม่ว่าที่ถูกเเล้วมันควรจะมีวิธีจัดการกันอย่างไรดีครับ
                                                                                                                       
                                                                                                                         ขุนอิน

วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ซุปเปอร์ไฮโซ

โลกใบนี้ดนตรีไทย.                                                                 

อ.ขุนอินกำลังสอนการตีระนาดให้ ท่านชิโร ซาโตะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น

     ฉบับนี้ผมจะถือว่าเป็นฉบับเเรกอย่างเป็นทางการสำหรับคอลัมน์โลกใบนี้ดนตรีไทยของผมที่ลงอยู่ในบล๊อคเกอร์เเละเฟสบุ๊คเเฟนเพจโลกใบนี้ดนตรีไทย โดยฉบับที่เเล้วที่เป็นเรื่องของความในใจ ก็ขอให้ถือว่าเป็นบทนำหรือเป็นการรีวิวเท่านั้นเพราะเนื่องจากมิได้มีเรื่องราวหรือเนื้อหาสาระอะไรเเต่อย่างใดนั่นเองเเหละครับ
     ตอนนี้ก็เท่ากับว่าผมได้เป็นนักเขียนอิสระหรือจะบอกให้เป็นเเบบภาษาฟุตบอลก็คงจะกล่าวได้ว่า ผมเป็นนักเขียนฟรีเอเย่นต์  แต่จะว่ากันจริงๆเเล้วนักเขียนอิสระกับนักเขียนมีสังกัดนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเเตกต่างกันเท่าไหร่นัก โดยหลักก็เเค่เขียนได้สตางค์กับเขียนไม่ได้สตางค์เท่านั้นเองเเหละครับ เเต่จะมีปลีกย่อยไปบ้างก็คือการเขียนให้สำนักพิมพ์จะต้องผ่านการตรวจหรือเซ็นเซอร์จากบรรณณาธิการหรือผู้ดูเเลคอลัมน์ในเรื่องเนื้อหาเเละถ้อยคำตัวอักษรต่างๆที่อาจจะทำให้เกิดเป็นคดีความที่ไปๆพาดพิงบุคคลหรือองค์กรใดๆดังนั้นการเป็นนักเขียนอิสระก็จึงต้องระมัดระวังในเรื่องการเขียนตัวอักษรต่างๆให้ดี และอีกอย่างก็คือการจำกัดเนื้อที่ในการเขียนนั้นจะต้องอยู่ในจำนวนบรรทัดที่กำหนดไว้  ง่ายๆว่า ก็คือเป็นเหมือนกับนักร้องที่ไม่มีโปรดิวซ์ นั่นเองเเหละครับ เเต่สำหรับผมเเล้วนั้นประสบการณ์จากการเขียนให้ นสพ.คมชัดลึกมา 11 ปี ก็คงพอที่จะเอาตัวรอดในการเขียนไปได้ครับ
     กลับมาเข้าเรื่องที่ผมตั้งใจจะเขียนกันดีกว่า ก็คือในรอบ 1เดือนกว่าๆที่ผ่านมานั้น ผมได้ไปบรรเลงระนาดเอกให้ชาวต่างชาติ 2 ชาติพันธ์ก็คือ ญี่ปุ่นกับไต้หวันได้รับชมรับฟังกันเเบบที่เรียกว่างานในระดับซุปเปอร์ไฮโซ งานเเรกเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2560 ผมได้ไปตีระนาดคู่กับอาจารย์โนริโกะ นักดีดโกโตะชื่อดังชาวญี่ปุ่น ถึงข้างในบ้านพักส่วนตัวของ ท่านชิโร ซาโตะชิมะ เอกราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งในเนื้องานก็ไม่ได้มีอะไรมาก เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบวาระ 130 ปี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา จึงได้เสด็จเป็นการส่วนพระองค์เพื่อมาทรงเสวยพระกระยาหารค่ำและพูดคุยกับท่านชิโร ซาโตะชิมะ เป็นการเจริญสัมพันธไมตรี เเละหลังจากนั้นก็จะมีการเเสดงระนาดกับโกโตะ เเละตอนท้ายท่านชิโร ซาโตะชิมะ ก็ได้มาหัดตีระนาดเอกกับผม เป็นเเบบคลอสสั้นๆหลักสูตรพิเศษพอที่จะให้ท่านตีระนาดให้เป็น เพลงซากุระได้  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจของตัวผมที่สามารถทำให้ชาวต่างชาติในระดับเอกอัครราชทูติได้มาสัมผัสกับเครื่องดนตรีไทยของเรา แถมยังได้บรรเลงระนาดเอกถวายให้กับพระองค์ภา เเบบนี้ที่ผมบอกว่าเป็นงานซุปเปอร์ไฮโซก็คงจะไม่ผิดครับ
     ถัดจากนั้น 9 วันในวันที่ 22 สิงหาคม 2560 ผมก็ได้นั่งเครื่องบินของไชน่าเเอร์ บินป๋อไปลงที่สนามบินเถาหยวน ประเทศไต้หวัน เพื่อไปร่วมงาน Goden Melody Award ครั้งที่28 ตามคำเชิญจากกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวัน ที่ได้จัดงานนี้ขึ้นมาเป็นประจำในทุกๆปี ซึ่งวันงานนั้นตรงกับวันที่ 26 สิงหาคม 2560 ซึ่งในเนื้องานก็คล้ายกับงานสุพรณหงส์ทองคำหรือโทรทัศน์ทองคำบ้านเรา ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวันได้มีการมอบรางวัลให้กับศิลปินที่มีเชื้อชาติจีนที่อยู่ทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะเเค่ชาวไต้หวัน ที่ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการคัดเลือกผลงานในรอบปีที่ดีเด่น มาให้ได้รับรางวัล Goden Melody Awerd ในสาขาต่างๆ และก็จะมีการเเสดงชุดต่างๆสลับกับการประกาศเเละมอบรางวัล ซึ่งผมก็ได้เเสดงระนาดเอกร่วมกับวง National Chinese Orchestra Taiwan (NCO.)ในบทเพลงจีนตอกไม้ ซึ่งก็คือเพลงประจำตัวผมนั่นเองเเหละครับเเต่เป็นเวอร์ชั่นที่ทางวง NCO.ได้เรียบเรียงขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สำหรับงานนี้ เเละหลังจากที่ได้เเสดงเสร็จเเล้วทางกระทรวงวัฒนธรรมไต้หวันนั้นได้ให้เกียรติผมเป็นผู้ประกาศรางวัลเเละมอบรางวัลให้กับศิลปินที่ชนะเลิศ ในอัลบั้มเพลงชื่อชุดอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งผมจำไม่ได้จริงๆ เพราะเนื่องจากเป็นภาษาจีนซึ่งมันเป็นคำที่ค่อนข้างจะจดจำได้ยาก เเต่ก็จำได้ว่าเป็นรางวัลเเนวดนตรีจีนโบราณดั้งเดิม ง่ายๆว่าเเนวเดียวกับตัวผมเองนั่นเองเหละครับ ซึ่งทางเจ้าภาพจัดงานคงมองออกว่า มิสเตอร์ขุนอิน นี่เเหละเหมาสมที่สุดในการมอบรางวัลนี้ ซึ่งตรงนี้ผมคิดไปเองนะครับ เเต่ก็คงจะมีเคล้าโคลงความเป็นจริงเเหละครับ
     ซุปเปอร์ไฮโซจริงๆนะครับ ที่ผมเป็นคนไทยคนเเรกเเละเป็นคนต่างชาติคนเดียวที่กระทรวงวัฒนธรรมไต้หวัน เชิญให้มาเเสดงระนาดเอกเเถมยังเป็นผู้ประกาศเเละมอบรางวัลในงานอันทรงเกียรติของศิลปินชาวจีนที่ภูมิลำเนาอยู่ทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่เเค่เฉพาะในไต้หวันเท่านั้น สำคัญคือมีการเเพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไปทั่วประเทศไต้หวัน  ซึ่งจะว่ากันจริงๆเเล้วนั้น ผมก็ไม่เคยได้รับเกียรติให้ทำเเบบนี้ในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเเม้เเต่เพียงครั้งเดียวครับ
                                                                            ขุนอิน